SDG9

การบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียวและนวัตกรรมสีเขียวต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านต้นทุน ผ่านการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง

แนวคิดเกี่ยวกับการบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียว (green supply chain integration หรือ GSCI) มาจากการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว (green supply chain management หรือ GSCM) และการบูรณาการโซ่อุปทาน (supply chain integration หรือ SCI) โดยหลักปฏิบัติของ GSCM เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างกว้าง และถูกนำมาใช้ในการจัดการประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมของห่วงโซ่อุปทาน จึงได้มีการประยุกต์ใช้ SCI ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีความมุ่งเน้นมากขึ้นเพื่อพัฒนาแนวคิด GSCM โดยให้เหตุผลว่า “อาจช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยั่งยืนมากขึ้นและช่วยประเมินผลกระทบของกิจกรรมดังกล่าวต่อการดำเนินงานด้านความยั่งยืน” SCI เป็นแนวคิดพื้นฐานของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานผ่านกลไกการบูรณาการ (เช่น การจัดลำดับขั้น การแบ่งปันข้อมูล และการร่วมมือกัน) ซึ่งอยู่ภายในการบูรณาการภายในองค์กรและแนวทางปฏิบัติระหว่างองค์กร นวัตกรรมสีเขียว (green innovation) เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี กลยุทธ์ และระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยลดการใช้ทรัพยากรและการปล่อยมลพิษ ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์และ/หรือกระบวนการที่มีอยู่เพื่อลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นต่าง ๆ ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (product life cycle) นวัตกรรมสีเขียวที่จำเป็นต้องมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อาจทำให้สำเร็จได้ยาก หลายบริษัทอาจมีความยินดีมากกว่าที่จะนำนวัตกรรมสีเขียวมาใช้ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะกระบวนการผลิตและโลจิสติกส์โดยไม่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นที่ถกเถียงกันว่าการลงทุนในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือนวัตกรรมกระบวนการสีเขียว […]

การบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียวและนวัตกรรมสีเขียวต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านต้นทุน ผ่านการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง Read More »

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’

ชวนอ่านงานวิจัย “การพัฒนาชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียนเชิงบูรณาการด้วยนวัตกรรมการเชื่อมต่อระบบขนส่งทางน้ำ” โดย รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันประเทศไทยมีชุมชนแออัดมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน สะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และการกระจุกตัวของสิ่งก่อสร้าง ประกอบกับความหนาแน่นของประชากรและข้อจำกัดด้านที่ดิน ส่งผลให้เมืองกลืนกินกลุ่มชุมชนเปราะบางมากขึ้น โดยในหลายพื้นที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการพัฒนาที่สร้างมูลค่าที่ดินได้มากกว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชุมชนรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย โดยมีความพยายามในการพัฒนาและปรับปรุงด้วยหลากหลายวิธีตามสภาพปัญหา แต่กลไกที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนควรพิจารณาถึงการสร้างการพึ่งพาตนเองที่สามารถสร้างโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความเป็นตัวตนของชุมชนเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง สามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสที่พึงจะได้ สู่การเป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยปัญหาข้างต้นจึงเป็นที่มาของโครงการวิจัยนี้ โดย รศ.ดร.ภาวิณี ได้ศึกษาพื้นที่ชุมชนริมคลองลาดพร้าวเป็นชุมชนต้นแบบ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณคลองลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นคลองที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเพื่อระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ จึงควรสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อของการเดินทางด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงด้วยการใช้ประโยชน์และการพัฒนาทรัพยากรที่นำไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ที่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนได้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’ Read More »

‘โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร’ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดย่อม มีกระบวนการอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก’

ชวนอ่านงานวิจัย “กิจกรรมการส่งเสริม พัฒนา โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร (Support Center Model) ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพ SMEs สมุนไพรเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 ประเด็นเมืองสมุนไพร” โดย รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) อุตสาหกรรมสมุนไพรเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และสามารถสร้างความยั่งยืนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมเดิม (first S-Curve) และเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (new engine of growth) โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างยั่งยืน อีกทั้งปัจจุบันความต้องการใช้สมุนไพรในประเทศไทยและทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และสารสกัดสมุนไพร จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ให้ความสนใจและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าการบริหารจัดการอุตสาหกรรมสมุนไพรของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีระบบที่ชัดเจน วัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรม คุณภาพวัตถุดิบไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงปัญหาด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการด้านสมุนไพรส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อย หากพิจารณาจากสัดส่วนของโรงงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานมีเพียง 4.47% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการด้านสมุนไพรในประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมให้ได้การรับรองมาตรฐาน รวมถึงช่วยเหลือด้านเงินทุนเพื่อให้เกิดศักยภาพตามที่กำหนด จึงเป็นที่มาในการศึกษาวิจัยของ รศ.ดร.กิตติพงศ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมสมุนไพร ด้วยมาตรฐานการผลิต เทคโนโลยี

‘โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร’ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดย่อม มีกระบวนการอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก’ Read More »

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร?

โรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ของการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตราว 600,000 คน ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดทั่วไป (conventional chemotherapy) ประสบความทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากการออกฤทธิ์แบบไม่เลือกเจาะจง (non-selective action) ของยาเคมีบำบัดต่อเซลล์ปกติ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อนุภาคนาโน (nanoparticle) ได้รับการพัฒนาเป็นระบบขนส่งยาสำหรับยาเคมีบำบัดชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา อนุภาคนาโนมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเข้มข้นของยา (drug concentration) ในเซลล์มะเร็งด้วยการเพิ่มการสะสมยา (drug accumulation) ผ่านกลไก 2 แบบคือ 1) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายได้เอง (passive targeting) และ 2) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างจำเพาะ (active targeting) นอกจากนี้อนุภาคนาโนยังช่วยลดการขับยาออก (drug efflux) จากเซลล์มะเร็งอีกด้วย ระบบตัวพาขนาดนาโนเมตรนี้สามารถนำส่งยาสู่มะเร็งเป้าหมายได้ 2 แบบ คือ ซึ่งการทำงานของอนุภาคนาโนผ่านกลไกทั้งสองแบบนี้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเซลล์มะเร็งเพิ่มสูงขึ้น การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร? Read More »

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “บริการทางวิชาการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ และนวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองจากโรคได้เทียบเท่าคนทั่วไป เช่น คนพิการทางสายตาที่ต้องสัมผัสพื้นผิวมากกว่าปกติ คนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยหรือล้างมือด้วยตนเอง คนพิการทางจิต/สติปัญญา/ออทิสติก ที่ไม่สามารถเข้าใจมาตรการในการป้องกันโรคได้เท่าคนทั่วไป และหากคนพิการเจ็บป่วยก็อาจจะต้องใช้ทรัพยากรในการดูแลมากกว่า รวมถึงอาจมีอาการป่วยหนักกว่าคนทั่วไปเนื่องจากมีโรคร่วมทางกายมากกว่า งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้สำหรับการดูแลคนพิการในแต่ละประเภทความพิการ และสังเคราะห์รูปแบบและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม เเละอุตสาหกรรม และเป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ  ซึ่งงานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกประเด็นกับกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง และการถอดบทเรียนและองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมการดูแลคนพิการ กับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’ Read More »

การขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมโดยเด็กและเยาวชน ทำอย่างไรเพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ชานนท์ โกมลมาลย์’

ชวนอ่านงานวิจัย “โครงการการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อขับเคลื่อนสุขภาวะ โดยการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน : กรณีศึกษานำร่องสภาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด” โดย รศ.ชานนท์ โกมลมาลย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 18 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 ถึง มีนาคม 2561 ในประเทศไทยกระแสความสนใจและการศึกษาวิจัยนวัตกรรมทางสังคมเกิดขึ้นเป็นวงกว้างมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา นวัตกรรมทางสังคมเปรียบเสมือนแกนหลักในการพัฒนาประเทศโดยมีนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวเสริม อาจกล่าวได้ว่านวัตกรรมทางสังคมนั้นเป็นการพัฒนาด้วยการใช้สังคมและการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้งทำให้เกิดภาวะสมดุลสุขภาวะอย่างมีพลวัตได้ จากรายงานของยูนิเซฟ (UNICEF) ว่าด้วยอนุสัญญาสิทธิเด็ก ระบุว่า ควรดำเนินการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เด็กกว่าล้านคนได้รับประโยชน์ ด้วยความร่วมมือระหว่างองค์กรทั่วโลกจะช่วยให้ทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อเด็กทุกคน ฉะนั้นอาจสรุปได้ว่าเด็กและเยาวชนจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างนวัตกรรมทางสังคม วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ คือ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน พัฒนาศักยภาพเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนเด็กและเยาวชนในการแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมในระดับพื้นที่และจังหวัด และสร้างเครือข่ายแกนนำที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งงานวิจัยฉบับนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม และเป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ การดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก

การขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมโดยเด็กและเยาวชน ทำอย่างไรเพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ชานนท์ โกมลมาลย์’ Read More »

Scroll to Top