SDG12

สำรวจการนำ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ มาใช้ ในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย พร้อมค้นหาปัจจัยหนุนเสริมและอุปสรรค

ปัจจุบัน โลกได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ซึ่งหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอย่าง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy : CE) มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความยั่งยืน โดยได้ให้ความสำคัญกับการปรับใช้หมุนเวียนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยเรื่อง “Circular Economy: Exploratory Study of Steel Industry in Thailand” โดย Vichathorn Piyathanavong สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ  เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy (CE) เป็นโมเดลทางเศรษฐศาสตร์ที่ช่วยในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต พร้อมช่วยคงสภาพมูลค่าของผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบ ให้สามารถใช้ได้ในระยะยาว รวมถึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งลดของเสียและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับการสร้างวัฏจักรหมุนเวียนของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ พลังงาน และการจัดการของเสียที่เหลือทิ้ง นอกจากนี้ เศรษฐกิจหมุนเวียน ยังมีศักยภาพในการช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยรักษาทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ  เมื่อผลิตภัณฑ์หมดอายุการใช้งาน (End-of-Life : EoL) ก็สามารถนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น แตกต่างจากเศรษฐกิจแบบเส้นตรง […]

สำรวจการนำ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ มาใช้ ในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย พร้อมค้นหาปัจจัยหนุนเสริมและอุปสรรค Read More »

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นคาร์บอนในเหล็ก การผลิตเหล็กจากกล่องอาหารทดแทนการใช้ถ่านหินได้หรือไม่? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์’

ชวนอ่านงานวิจัย “การใช้ประโยชน์ขยะพอลิเมอร์กล่องบรรจุอาหารที่เกิดขึ้นจากธุรกิจส่งอาหารในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อการผลิตเหล็กกล้าแบบยั่งยืน : การผลิตคาร์บอนกราไฟต์และการประยุกต์ใช้เป็นสารเพิ่มคาร์บอนในเหล็กเหลว” โดย รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) การดำเนินนโยบายให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจส่งอาหาร (food delivery) เฟื่องฟูและเป็นที่นิยมอย่างมาก ทว่าปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาคือ ขยะที่เป็นกล่องบรรจุอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นวัสดุพอลิเมอร์หรือพลาสติกซึ่งย่อยสลายได้ยาก โดยทั่วไปแล้วขยะพอลิเมอร์ที่ใช้เป็นกล่องบรรจุอาหารมี 2 ชนิดคือ พอลิโพรไพลีน (polypropylene: PP) ซึ่งอยู่ในรูปของกล่องพลาสติกขาวขุ่น และพอลิสไตรีน (polystyrene: PS) ที่อยู่ในรูปของกล่องพลาสติกใสอ่อน กล่อง/ถาดโฟมสีขาว รวมทั้งช้อนส้อมพลาสติกและฝาแก้วกาแฟร้อนสีขาว เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีกำจัดขยะโดยการเผาหรือนำไปทิ้งตามพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและเหล็กกล้า คาร์บอนเป็นธาตุที่สำคัญมากในกระบวนการผลิต โดยเป็นทั้งเชื้อเพลิงและเป็นตัวทำปฏิกิริยาระหว่างการถลุงเหล็กในเตาหลอม แหล่งของคาร์บอนที่ใช้ในกระบวนการผลิตคือ ถ่านหิน ถ่านโค้ก ถ่านแอนทราไซต์ กราไฟต์ เป็นต้น แต่ทว่าการใช้ถ่านหินหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านี้ในกระบวนการผลิต ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศออกสู่ระบบนิเวศมากตามไปด้วย

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นคาร์บอนในเหล็ก การผลิตเหล็กจากกล่องอาหารทดแทนการใช้ถ่านหินได้หรือไม่? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์’ Read More »

ภาคพลังงานไทยจะร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่ อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาท้าทายของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญ คือ กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาทิ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำฟาร์ม และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกในการออกแบบนโยบาย มาตรการ ข้อผูกพัน และความร่วมมือเพื่อควบคุมและแก้ปัญหาไม่ให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้น โดยหนึ่งในความพยายามที่สำคัญและเป็นโจทย์ความร่วมมือระหว่างประเทศนั่นคือ ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีเป้าหมายท้าทายหลายประการ อาทิ รักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนืออุณหภูมิในช่วงก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้อุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส การจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ให้อยู่ในระดับเดียวกับที่ต้นไม้ ดิน และมหาสมุทรสามารถดูดซับได้ โดยจะเริ่มในช่วงเวลาระหว่างปี 2593 และ 2643 และการทบทวนการมีส่วนร่วมของแต่ละประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุก ๆ 5 ปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดความพยายามยิ่งขึ้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า “การเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งก้าวหนึ่งของไทย ประเทศไทยเข้าร่วมเพราะตระหนักในความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนที่จะรักษาโลกนี้ไว้ให้กับลูกหลาน…เจตนารมณ์อันแน่วแน่ของประเทศไทยในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และมีความต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศ” การขับเคลื่อนสังคมไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อร่วมจำกัดอุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส จึงเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น

ภาคพลังงานไทยจะร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่ อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ Read More »

การวิเคราะห์การไหลของวัสดุพลาสติก และผลการจำลองสถานการณ์ผ่านนโยบายรัฐ เพื่อใช้ในการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทย

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยส่งผลให้การผลิตและการบริโภคพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลพวงจากการผลิตและการบริโภคทำให้ขยะพลาสติกเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาการจัดการขยะของประเทศตามมา ในช่วงปี พ.ศ. 2546-2556 ปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 14.32 ล้านตันต่อปี เป็น 26.77 ล้านตันต่อปี เกือบ 1 ใน 5 เป็นขยะพลาสติก โดย 80% ของขยะพลาสติกมาจากบรรจุภัณฑ์ที่ถูกทิ้งหลังการบริโภค หน่วยงานรัฐจัดการขยะเหล่านี้ด้วยการฝังกลบ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณขยะพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้ต้นทุนการเก็บรวบรวมขยะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระแก่งบประมาณรัฐด้วย จากที่กล่าวมาข้างต้น หากไม่มีแผนการจัดการขยะที่เหมาะสม ประเทศไทยจะประสบปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน แหล่งที่มาหลักของขยะพลาสติกในประเทศไทยมาจาก 2 แหล่ง คือ จากกระบวนการอุตสาหกรรมและการบริโภคในครัวเรือน โดยขยะพลาสติกเหล่านี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ผ่านการใช้ซ้ำ (reuse) การรีไซเคิล (recycle) และการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน (waste to energy) ดังนั้น การจัดการของเสียแบบบูรณาการจึงเป็นการผสมผสานด้านเทคนิค ประกอบด้วย 4 ขั้น คือ การลดขยะที่แหล่งกำเนิด/การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การผลิตปุ๋ยหมัก และการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน การวิเคราะห์การไหลของวัสดุ (material flow analysis

การวิเคราะห์การไหลของวัสดุพลาสติก และผลการจำลองสถานการณ์ผ่านนโยบายรัฐ เพื่อใช้ในการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทย Read More »

การบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียวและนวัตกรรมสีเขียวต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านต้นทุน ผ่านการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง

แนวคิดเกี่ยวกับการบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียว (green supply chain integration หรือ GSCI) มาจากการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว (green supply chain management หรือ GSCM) และการบูรณาการโซ่อุปทาน (supply chain integration หรือ SCI) โดยหลักปฏิบัติของ GSCM เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างกว้าง และถูกนำมาใช้ในการจัดการประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมของห่วงโซ่อุปทาน จึงได้มีการประยุกต์ใช้ SCI ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีความมุ่งเน้นมากขึ้นเพื่อพัฒนาแนวคิด GSCM โดยให้เหตุผลว่า “อาจช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยั่งยืนมากขึ้นและช่วยประเมินผลกระทบของกิจกรรมดังกล่าวต่อการดำเนินงานด้านความยั่งยืน” SCI เป็นแนวคิดพื้นฐานของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานผ่านกลไกการบูรณาการ (เช่น การจัดลำดับขั้น การแบ่งปันข้อมูล และการร่วมมือกัน) ซึ่งอยู่ภายในการบูรณาการภายในองค์กรและแนวทางปฏิบัติระหว่างองค์กร นวัตกรรมสีเขียว (green innovation) เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี กลยุทธ์ และระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยลดการใช้ทรัพยากรและการปล่อยมลพิษ ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการออกแบบผลิตภัณฑ์และ/หรือกระบวนการที่มีอยู่เพื่อลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นต่าง ๆ ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (product life cycle) นวัตกรรมสีเขียวที่จำเป็นต้องมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อาจทำให้สำเร็จได้ยาก หลายบริษัทอาจมีความยินดีมากกว่าที่จะนำนวัตกรรมสีเขียวมาใช้ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะกระบวนการผลิตและโลจิสติกส์โดยไม่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นที่ถกเถียงกันว่าการลงทุนในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สีเขียว หรือนวัตกรรมกระบวนการสีเขียว

การบูรณาการโซ่อุปทานสีเขียวและนวัตกรรมสีเขียวต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านต้นทุน ผ่านการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง Read More »

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’

ชวนอ่านงานวิจัย “การพัฒนาชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียนเชิงบูรณาการด้วยนวัตกรรมการเชื่อมต่อระบบขนส่งทางน้ำ” โดย รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันประเทศไทยมีชุมชนแออัดมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน สะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และการกระจุกตัวของสิ่งก่อสร้าง ประกอบกับความหนาแน่นของประชากรและข้อจำกัดด้านที่ดิน ส่งผลให้เมืองกลืนกินกลุ่มชุมชนเปราะบางมากขึ้น โดยในหลายพื้นที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการพัฒนาที่สร้างมูลค่าที่ดินได้มากกว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชุมชนรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย โดยมีความพยายามในการพัฒนาและปรับปรุงด้วยหลากหลายวิธีตามสภาพปัญหา แต่กลไกที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนควรพิจารณาถึงการสร้างการพึ่งพาตนเองที่สามารถสร้างโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความเป็นตัวตนของชุมชนเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง สามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสที่พึงจะได้ สู่การเป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยปัญหาข้างต้นจึงเป็นที่มาของโครงการวิจัยนี้ โดย รศ.ดร.ภาวิณี ได้ศึกษาพื้นที่ชุมชนริมคลองลาดพร้าวเป็นชุมชนต้นแบบ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณคลองลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นคลองที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเพื่อระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ จึงควรสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อของการเดินทางด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงด้วยการใช้ประโยชน์และการพัฒนาทรัพยากรที่นำไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ที่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนได้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’ Read More »

พัฒนาอุตสาหกรรมผ่าน ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ดำเนินการอย่างไร? ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมระดับพื้นที่ ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.พีระ เจริญพร’

ชวนอ่านงานวิจัย “จัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่การพัฒนาในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัด” ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)   งานวิจัยฉบับนี้ ศึกษาเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนและขยายผลการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนลงสู่ระดับพื้นที่ พร้อมเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านรูปแบบการผลิตตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการ จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนบนวัตถุประสงค์หลักที่ได้กำหนดไว้ คือ 1) เพื่อจัดทำแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่การพัฒนาในระดับพื้นที่พร้อมนำไปสู่การขับเคลื่อนภายในพื้นที่ และ 2) เป็นโมเดลการพัฒนาเชิงพื้นที่ต้นแบบ (role model) ที่จะนำไปสู่การผลักดันและขยายผลการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้าง โดยให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน เป็นพื้นที่ต้นแบบนำร่องในการดำเนินการ สำหรับแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตาม ‘แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ตั้งเป้าหมายมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิตจากรูปแบบเดิมสู่รูปแบบใหม่ในระดับพื้นที่ โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการการผลิต การบริโภค การจัดการของเสีย และการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดของเสีย และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ตามรายละเอียดของแผนฯ รวมถึงใช้ประโยชน์ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน จากงานวิจัย รศ. ดร.พีระ ได้ดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่นำร่อง โดยได้จัดทำโมเดลต้นแบบ (role

พัฒนาอุตสาหกรรมผ่าน ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ดำเนินการอย่างไร? ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมระดับพื้นที่ ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.พีระ เจริญพร’ Read More »

แฟชั่นที่มีสไตล์พร้อมใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนากระบวน ‘การผลิตที่ยั่งยืน’ ได้อย่างไร 

อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีจำนวนการผลิตสะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยกระบวนการผลิตที่ง่ายขึ้นและต้องหมุนไปตามกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายครั้งเสื้อผ้าที่ถูกใช้งานแล้วต้องถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะ จึงกลายเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีการสร้างมลพิษที่เพิ่มขึ้น มีการใช้น้ำมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ และมักปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษ รวมถึงใช้พลังงานจำนวนมหาศาล ทั้งนี้ ปัจจุบันเสื้อผ้าส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่มีส่วนช่วยในการดูแลโลก ดังนั้น จึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจผลกระทบต่อ ‘สังคม’ และ ‘สิ่งแวดล้อม’ มากขึ้น  ด้วยปัญหาข้างต้น เพื่อค้นคว้าหาคำตอบในการผลิตอย่างยั่งยืน จึงเกิดเป็นงานวิจัยเรื่อง “Eco-Fashion Designing to Ensure Corporate Social Responsibility within the Supply Chain in Fashion Industry” โดย ผศ.ดร.วรางคณา จุติดำรงค์พันธ์  คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดร.เอ็มดี ทารีค บิน ฮุซไซน์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ ได้ศึกษางานวิจัยฉบับนี้ ร่วมกันช่วยพิจารณาว่า ‘วิธีใดช่วยให้อุตสาหกรรมแฟชั่นมีความตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น’ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อทำความเข้าใจความต้องการในการดำเนินกระบวนการออกแบบและผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นในทางปฏิบัติ โดยศึกษาอุตสาหกรรมบางแห่งในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่

แฟชั่นที่มีสไตล์พร้อมใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนากระบวน ‘การผลิตที่ยั่งยืน’ ได้อย่างไร  Read More »

‘โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร’ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดย่อม มีกระบวนการอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก’

ชวนอ่านงานวิจัย “กิจกรรมการส่งเสริม พัฒนา โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร (Support Center Model) ภายใต้โครงการเพิ่มศักยภาพ SMEs สมุนไพรเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 ประเด็นเมืองสมุนไพร” โดย รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) อุตสาหกรรมสมุนไพรเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และสามารถสร้างความยั่งยืนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมเดิม (first S-Curve) และเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (new engine of growth) โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างยั่งยืน อีกทั้งปัจจุบันความต้องการใช้สมุนไพรในประเทศไทยและทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และสารสกัดสมุนไพร จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ให้ความสนใจและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าการบริหารจัดการอุตสาหกรรมสมุนไพรของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีระบบที่ชัดเจน วัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรม คุณภาพวัตถุดิบไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงปัญหาด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการด้านสมุนไพรส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีความสามารถในการแข่งขันน้อย หากพิจารณาจากสัดส่วนของโรงงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานมีเพียง 4.47% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการด้านสมุนไพรในประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมให้ได้การรับรองมาตรฐาน รวมถึงช่วยเหลือด้านเงินทุนเพื่อให้เกิดศักยภาพตามที่กำหนด จึงเป็นที่มาในการศึกษาวิจัยของ รศ.ดร.กิตติพงศ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมสมุนไพร ด้วยมาตรฐานการผลิต เทคโนโลยี

‘โรงงานต้นแบบแปรรูปสมุนไพร’ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดย่อม มีกระบวนการอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.กิตติพงศ์ ไชยนอก’ Read More »

Scroll to Top