SDG11

ถอดบทเรียน 20 ปี งานวิจัย ‘ถนน คน เมือง’ บทสนทนา 1% แห่งความหวัง

คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถยืนหยัดทำงานในเรื่องเดิม ปัญหาเดิม ที่ยังไม่ได้ถูกแก้ไขมาอย่างยาวนานถึงกว่า 20 ปี เมื่อพูดถึงปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน การเกิดอุบัติเหตุในไทยยังคงอยู่ในอัตราที่สูง และหากมองภาพให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ในเมืองที่เราอยู่อาศัยโดยเฉพาะในเขตหัวเมืองใหญ่ ก็ยังคงมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้คนในไทยสักเท่าไร 2 เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกันที่ความเหลื่อมล้ำ และเป็นหัวข้องานวิจัยที่  รศ. ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาทำงานมากว่า 20 ปี เธอยอมรับว่าวันนี้ทั้งสองเรื่องยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่เธอคาดหวัง บทสนทนาชิ้นนี้จึงต้องขอเกริ่นไว้ก่อนว่า คงไม่ใช่เรื่องราวแห่งความสำเร็จ แต่เป็นเรื่องราวแห่งความหวังในการทำงานวิจัยในระยะยาวราวกับการวิ่งมาราธอนของ รศ. ดร.ภาวิณี เธอเป็นบัณฑิตจากคณะวิศวกรรมโยธาและมหาบัณฑิตจากคณะวิศวกรรมขนส่ง ก่อนตัดสินใจพาตัวเองสู่ความไม่คุ้นเคยใหม่ ในการศึกษาต่อปริญญาเอกสาขาการผังเมือง เธอคือหนึ่งนักวิจัยที่บอกกับเราว่า นักวิจัยที่ดีต้องพร้อมสลัดทิ้งชุดความรู้เดิมที่ตัวเองมี และเปิดรับชุดความรู้ใหม่อยู่เสมอ ประสบการณ์เรียนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่นได้ให้บทเรียนแก่เธอว่า “เราเรียนเรื่องการผังเมือง จากที่เราไม่เคยมองคนใหญ่ขนาดนั้นในการทำงาน พอไปที่นั่นเขาล้มกระดานเราเลย เขาบอกว่าคุณยังไม่ต้องคิดอะไร เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่มองดูผู้คนก่อน และกลับมาเล่าว่าคุณเห็นอะไร” จากวิศวกรที่เคยมองทุกอย่างเป็นโครงสร้าง เธอแทบจะต้องปล่อยทุกอย่างที่เธอเคยรู้ และเรียนรู้กับศาสตร์ใหม่ที่อยู่ตรงหน้า  นั่นคือเรื่องราวเมื่อครั้ง 20 ปีก่อน ในสมัยที่เธอยังไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก จนกระทั่งถึงวันนี้ เธอผ่านการเดินทาง เรียนรู้จากผู้คน และการทำงานวิจัยของเธอมาอย่างยาวนาน ยามบ่ายของวันอังคารที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หมู่เมฆครื้มฝนทำท่าจะตกเต็มที เรากดเครื่องบันทึกเสียง […]

ถอดบทเรียน 20 ปี งานวิจัย ‘ถนน คน เมือง’ บทสนทนา 1% แห่งความหวัง Read More »

Champion Researcher | เมื่อชุมชนมีของยาใจ แต่ไม่พอยาไส้ อนุรักษ์แบบไหนจึงตอบโจทย์

เมื่อกล่าวถึง ‘นักวิทยาศาสตร์’ เราคงมีภาพจำถึงบุคคลที่ทำงานอยู่ในห้องแล็บ สวมชุดสีขาว ขะมักเขม้นอยู่กับการทดลอง หรืองานวิจัยที่ตัวเองกำลังค้นคว้า แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เรากำลังได้คุย เธอกับมีเรื่องราวและประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เธอเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนกระโดดข้ามศาสตร์ไปเรียนสาขาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัยที่ทำงานวิจัยแบบข้ามศาสตร์ เรื่องราวและประสบการณ์ของเธอนั้น ทำให้เห็นการบูรณาการทำงานวิจัยร่วมกับผู้คน และชุมชนในเขตเมืองเก่าถึง 24 เมือง  เรื่องราวต่อจากนี้เป็นประสบการณ์การทำงานวิจัยของ ผศ. ดร.วิลาวัณย์ ภมรสุวรรณ หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับชุมชนมาอย่างยาวนาน และได้ตกตะกอนบทเรียนอย่างหนึ่งว่า“หากต้องทำงานวิจัยกับชุมชน อย่าลงพื้นที่ทำกิจกรรมในวันหวยออก!” วีรกรรมในห้องแล็บสู่การค้นพบตัวเองบนโลกกว้าง “เราไม่ชอบทำงานกับสารเคมี สร้างวีรกรรมไว้เยอะ ทำห้องแล็บไฟไหม้ ผสมสารเคมีระเบิด รู้สึกว่าการทำงานในแล็บไม่ใช่ตัวเรา” ผศ.ดร.วิลาวัณย์ กล่าวว่าโดยพื้นฐานเธอเป็นคนไม่ระมัดระวัง จึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะทำงานกับสารเคมี และเมื่อย้อนเวลากลับไป 30 ปีก่อน ช่วงนั้นเทคโนโลยีดาวเทียมกำลังเป็นเรื่องใหม่ ทำให้เธอหลงใหลไปกับการเปิดดูแผนที่ เธอกล่าวว่าแผนที่เป็นเครื่องมือที่ทำให้เห็นภาพ เป็นศาสตร์ที่สามารถบอกเล่าให้ผู้คนเข้าใจได้ง่ายกว่า ผศ.ดร.วิลาวัณย์ในวันที่เรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ตัดสินใจเป็นนักศึกษาวิทยาศาสตร์คนแรก ที่มาเรียนต่อด้านการวางแผนภาคและเมือง “เราเป็นคนชอบเดินทางและมองสิ่งที่อยู่ภายนอก” ศาสตร์ของสถาปัตยกรรม สอนให้เธอมองสิ่งต่างๆ ในหลายมุมมอง ผสมรวมกับการเรียนวิทยาศาสตร์ทำให้ทุกสิ่งที่เธอมองนั้น ต้องมีเหตุผลรองรับความเป็นไปได้

Champion Researcher | เมื่อชุมชนมีของยาใจ แต่ไม่พอยาไส้ อนุรักษ์แบบไหนจึงตอบโจทย์ Read More »

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านหุ้นส่วนการพัฒนาและกลไกการขับเคลื่อน

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนา หัวข้อ “การวิจัยระดับพื้นที่ด้านหุ้นส่วนการพัฒนาและกลไกการขับเคลื่อน”   โดย ผศ. ดร.คมน์ พันธรักษ์ และ ศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึง การสัมมนาข้างต้นจึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน วิจัยและนวัตกรรม เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เเละเป้าหมายที่ 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 01 – บทสรุปการนำเสนอประเด็น “ความสำคัญในการพัฒนา MSME” (micro small and medium enterprises) ผศ. ดร.คมน์ พันธรักษ์ ได้กล่าวถึงการวิจัยเพื่อสนับสนุนหุ้นส่วนการพัฒนาและกลไกขับเคลื่อน ในประเด็นของความสำคัญในการพัฒนา MSME มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้ 

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านหุ้นส่วนการพัฒนาและกลไกการขับเคลื่อน Read More »

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการผลิต บริโภค และท่องเที่ยวระดับพื้นที่ให้ยั่งยืนได้อย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนระดับพื้นที่

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัย หัวข้อ “การวิจัยด้านการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนระดับพื้นที่”   โดย ผศ. ดร.วิลาวัณย์ ภมรสุวรรณ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงสนับสนุนการผลิต การบริโภค และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคนในชุมชน งานสัมมนาข้างต้นจึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน 01 – บทสรุปการสัมมนาหัวข้อ “การวิจัยด้านการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนระดับพื้นที่”    ผศ. ดร.วิลาวัณย์ ในฐานะนักวิจัยแนวหน้าของโครงการ TU – SDG Research ได้นำเสนอประเด็นจากประสบการณ์การทำงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนระดับพื้นที่โดยแบ่งเป็นประเด็นย่อยที่น่าสนใจ ดังนี้ ประเด็นแรก การนำเสนองานวิจัยและหัวข้อวิจัยที่ผ่านมา ผศ. ดร.วิลาวัณย์ ได้กล่าวถึงงานวิจัยที่ผ่านมา 3 ด้าน

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการผลิต บริโภค และท่องเที่ยวระดับพื้นที่ให้ยั่งยืนได้อย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ Read More »

อิทธิพลใดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้ ‘Metro-Bus’ ค้นหาคำตอบผ่านการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีรายได้ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ปัจจุบัน ประชากรในเขตเมืองนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพายานพาหนะในการเดินทางและสัญจรมากขึ้น และเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ทำให้ประชากรบางส่วนเลือกพึ่งพาการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ กลายเป็นการสร้างความแออัดทางการจราจรในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องกลับมาพิจารณาว่าผู้คนมีพฤติกรรมและทัศนคติในการเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะภายในเมืองเช่นไร ด้วยประเด็นข้างต้นนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Influence of Social Constraints, Mobility Incentives, and Restrictions on Commuters’ Behavioral Intentions and Moral Obligation towards the Metro-Bus Service in Lahore” โดย Muhammad Ashraf Javid Department of Civil Engineering, NFC Institute of Engineering and Fertiliser Research , Nazam Ali University of Management and Technology, Tiziana Campisi

อิทธิพลใดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้ ‘Metro-Bus’ ค้นหาคำตอบผ่านการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีรายได้ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน Read More »

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

‘เกมและการเล่น’ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยในอดีตเกมต่าง ๆ จะเล่นเพื่อเน้นเสริมสร้างความสนุกเป็นหลัก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการริเริ่มคิดเล่น ‘เกมซีเรียส’ (serious game) หรือ “เกมที่มีกระบวนการจำลองโลกเสมือนจริง (simulation) ซึ่งออกแบบมาเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทว่าก็ยังคงความเป็นเกมที่ให้ความบันเทิงไปด้วย” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายหลายด้านต่าง ๆ ทั้งเป็นสื่อการเรียนการสอน การออกแบบและวางผังเมือง และเครื่องมือเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ‘Kin Dee You Dee’ เป็นหนึ่งในเกมซีเรียส ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ของชุมชนเกี่ยวกับการตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยชุดเกมนี้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่ชื่อว่า “Planning for Eco-Cities and Climate-Resilient Environments: Building Capacity for Inclusive Planning in the Bangkok Metropolitan Region (PEACE-BMR)” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่มุ่งสำรวจแนวทางและกลไกการปรับตัวของครัวเรือนและชุมชนต่อวิกฤติจากสภาพภูมิอากาศ ต่อมาได้มีการทดสอบการใช้ชุดเกมเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นในปี 2561 ก่อนที่การออกแบบและพัฒนาชุดเกมจะเสร็จสิ้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 เพื่อศึกษาและทดลองใช้เกม ‘Kin Dee You Dee’ ให้สามารถปรับพัฒนาไปสู่การสร้างประสิทธิภาพและครอบคลุมความต้องการของชุมชนมากขึ้น

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ Read More »

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ประชากรกว่า 1.74 ล้านคนในภูมิภาคนี้ไม่สามารถเข้าถึงสุขาภิบาลที่ดีได้ โดยในจำนวนนี้ประมาณ 792 ล้านคนยังคงทนทุกข์กับการขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง สถานการณ์สุขาภิบาล (sanitation situation) ที่ไม่ดีส่งผลกระทบที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย และสูญเสียโอกาสในการนำสิ่งปฏิกูลกลับมาใช้ใหม่เพื่อผลิตพลังงานหรือปุ๋ย การสุขาภิบาลที่ไม่ดียังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยประเมินการสูญเสียรายได้จากผลผลิตที่ลดลงกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากปี 2548) ในประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งคิดเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product: GDP) แม้ว่ารัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะริเริ่มดำเนินการหลายอย่างเพื่อปรับปรุงสถานการณ์สุขาภิบาล แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ การขาดตัวเลือกเทคโนโลยีและเทคโนโลยีที่มีอยู่มีประสิทธิภาพต่ำ ส่งผลต่อการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของภูมิภาค ระบบบำบัดน้ำเสียจากห้องสุขาที่ใช้กันทั่วไป คือ ระบบสุขาภิบาล ณ แหล่งกำเนิด (on-site sanitation system: OSS) เช่น บ่อเกรอะ (septic tank) บ่อซึม (cesspool) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วได้รับการออกแบบ สร้าง และบำรุงรักษาที่ไม่ดีพอ นำไปสู่การรั่วไหลของของเสียหรือการใช้งานที่มากเกินไป

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม Read More »

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ได้อย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมลํ้าและการสร้างความเป็นธรรมในสังคม

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัยหัวข้อ “การวิจัยระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความเป็นธรรมในสังคม” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด และ รศ .ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการลดความเหลื่อล้ำเชิงพื้นที่ผ่านการศึกษาวิจัย งานสัมมนาข้างต้นจึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง 01 – บทสรุปการสัมมนาหัวข้อ “การวิจัยระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความเป็นธรรมในสังคม” การสัมมนาหัวข้อ “การวิจัยระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความเป็นธรรมในสังคม” มีประเด็นสำคัญที่ได้จากการนำเสนอของ ผศ.รณรงค์  ดังนี้ ผศ.รณรงค์ ยังระบุถึงอุปสรรคและความท้าทายของการทำวิจัยในปัจจุบันว่าหน่วยงานของรัฐมีข้อจำกัดหลายประการในการจัดการงานในท้องถิ่น ส่งผลให้แม้จะมีแนวความคิดหรือมีใจในการพัฒนา แต่มักติดกับกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของหน่วยงาน นอกจากนี้ ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ก็เป็นความท้าทายอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ พื้นที่หนึ่งโดดเด่นได้รับการสนับสนุน อีกพื้นที่ไร้กำลังเข้าไม่ถึงโอกาสในการพัฒนา ดังนั้น งานวิจัยในอนาคต หากต้องการให้เกิดความยั่งยืน สิ่งสำคัญคือนักวิจัยควรมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ที่ไร้กำลัง พิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาได้

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะศึกษาและหนุนเสริมการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ได้อย่างไร ชวนหาคำตอบจากบทสรุปสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมลํ้าและการสร้างความเป็นธรรมในสังคม Read More »

ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำ ‘ทุนที่มีค่า’ ในชุมชนมาใช้ตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2559 มีประชากรรวมราว 10.6 ล้านคน นับว่าเป็นเมืองหลวงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมีความเสี่ยงในการเผชิญกับวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการจัดการเมืองขาดการประสานเชื่อมโยงกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งการวางแผนผังเมือง การดำเนินการเชิงกฎระเบียบ และการใช้ที่ดิน เช่น การพัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรซ้อนทับบนพื้นที่โซนสีเขียว ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับระบายน้ำท่วม ส่งผลให้บ้านเหล่านั้นเสี่ยงภัยน้ำท่วมและขณะเดียวกันก็เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำของเมือง ซึ่งวิกฤติการณ์น้ำท่วมหนักเมื่อปี 2554 ก็เป็นผลกระทบสำคัญจากนโยบายการวางแผนป้องกันภัยพิบัติที่ขาดประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แม้จะอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันแต่ฐานะทางเศรษฐกิจก็ทำให้ประชากรเมืองมีความเปราะบางและได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่ต่างกันด้วย โดยครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง แม้จะเผชิญผลกระทบจากน้ำท่วมแต่ก็มีมาตรการในการรับมือ เช่น การย้ายที่อยู่ชั่วคราว การสร้างคันกั้นน้ำได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เพื่อสร้างคันกั้นน้ำได้ทันที อีกทั้งยังสูญเสียรายได้รายวันเนื่องจากสถานที่ทำงานถูกปิดและไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ เฉพาะภัยพิบัติน้ำท่วม ที่ผ่านมาภาครัฐแก้ปัญหาโดยเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน อุโมงค์ระบายน้ำบริเวณนอกรอบของเมือง มากกว่าการให้ความสำคัญกับการควบคุมการพัฒนา การบูรณะปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำ และเสริมสร้างความสามารถในการตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงแก่ประชากรเมืองเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อปี 2560 กรุงเทพฯ โดยความร่วมมือกับโครงการ 100 Resilient Cities ของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ได้พัฒนายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในกรุงเทพฯ ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือ การลดความเสี่ยงและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวผ่านการเสริมสร้างศักยภาพแก่ปัจเจกบุคคลและชุมชนในการรับรู้ ปรับตัว และฟื้นคืนกลับจากภัยพิบัติ เพื่อศึกษาความสามารถและเสนอแนวทางหนุนเสริมศักยภาพแก่ปัจเจกและชุมชนเมืองในการนำทุนที่มีค่า (asset) มาปรับใช้ในการตั้งรับปรับตัวจากภัยพิบัติ

ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำ ‘ทุนที่มีค่า’ ในชุมชนมาใช้ตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร Read More »

สำรวจแนวทางผลักดัน ‘เกาะสมุย’ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ผ่านงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ และคณะ’

ชวนอ่านงานวิจัย “การสำรวจภารกิจและงบประมาณของส่วนราชการในพื้นที่เกาะสมุย: การศึกษาเพื่อเตรียมข้อมูลสนับสนุนสำหรับการพัฒนาพื้นที่เกาะสมุย เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” โดย รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สุทธิเกียรติ อังกาบูรณะ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้าและสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) เกาะสมุย เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย รองจากเกาะภูเก็ตและเกาะช้าง อีกทั้งยังเป็นเกาะที่มีการขยายตัวและเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละปีมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 12,000 – 18,000 ล้านบาทต่อปี นับเป็นรายได้ที่สูงเป็นลำดับที่ 6 ของรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวของไทย ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของชาวเกาะสมุยก็สูงกว่า 50,000 บาท ต่อเดือน  อย่างไรก็ดี การเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวข้างต้นกลับก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม หลายประการ อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาสวัสดิการและคุณภาพชีวิต ปัญหาด้านสาธารณูปโภค ปัญหาด้านโครงสร้างหน้าที่ รวมถึงการบริหารงบประมาณของเทศบาลนครเกาะสมุยกับหน่วยงานราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ยังขาดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ  สภาพปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้มีการทบทวนบทบาทของเทศบาลนครเกาะสมุย ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนภายในพื้นที่เกาะสมุยจะต้องเข้ามาเป็นผู้มีบทบาทหลักและมีอำนาจสูงสุดในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่เกาะสมุยเพื่อตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และความต้องการที่หลากหลายของประชาชนชาวเกาะสมุย โดยที่หน่วยงานราชการบริหารส่วนกลางและหน่วยงานราชการบริการส่วนภูมิภาคควรทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนในการดำเนินภารกิจด้านการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่เกาะสมุย มากกว่าเป็นหน่วยงานหลักที่จะเข้าไปดำเนินภารกิจด้านการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง

สำรวจแนวทางผลักดัน ‘เกาะสมุย’ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ผ่านงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ และคณะ’ Read More »

Scroll to Top