STI x Health

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ประชากรกว่า 1.74 ล้านคนในภูมิภาคนี้ไม่สามารถเข้าถึงสุขาภิบาลที่ดีได้ โดยในจำนวนนี้ประมาณ 792 ล้านคนยังคงทนทุกข์กับการขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง สถานการณ์สุขาภิบาล (sanitation situation) ที่ไม่ดีส่งผลกระทบที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย และสูญเสียโอกาสในการนำสิ่งปฏิกูลกลับมาใช้ใหม่เพื่อผลิตพลังงานหรือปุ๋ย การสุขาภิบาลที่ไม่ดียังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยประเมินการสูญเสียรายได้จากผลผลิตที่ลดลงกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากปี 2548) ในประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งคิดเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product: GDP) แม้ว่ารัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะริเริ่มดำเนินการหลายอย่างเพื่อปรับปรุงสถานการณ์สุขาภิบาล แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ การขาดตัวเลือกเทคโนโลยีและเทคโนโลยีที่มีอยู่มีประสิทธิภาพต่ำ ส่งผลต่อการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของภูมิภาค ระบบบำบัดน้ำเสียจากห้องสุขาที่ใช้กันทั่วไป คือ ระบบสุขาภิบาล ณ แหล่งกำเนิด (on-site sanitation system: OSS) เช่น บ่อเกรอะ (septic tank) บ่อซึม (cesspool) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วได้รับการออกแบบ สร้าง และบำรุงรักษาที่ไม่ดีพอ นำไปสู่การรั่วไหลของของเสียหรือการใช้งานที่มากเกินไป […]

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม Read More »

TU SDG Seminars | การทำงานวิจัยด้านอาหารและยาร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ปัญหา อุปสรรค และประเด็นที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย โดย รศ. ดร.ประภาศรี เทพรักษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ดร.สุเมธ คงเกียรติไพบูลย์ ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิด โดยแบ่งประเด็นการพูดคุยออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมาของนักวิจัยและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และ 2) การเสนอแนะหัวข้อการวิจัยที่น่าสนใจในปัจจุบันและการบูรณาการกับสาขาอื่น ๆ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและยาของประเทศไทย จึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม 01 – การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ผลงานวิจัยที่ผ่านมาของ รศ. ดร.ประภาศรี ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยที่ได้รับโจทย์มาจากผู้ประกอบการภาคเอกชน แล้วจึงพัฒนาเป็นโครงร่างการวิจัยขึ้นมา

TU SDG Seminars | การทำงานวิจัยด้านอาหารและยาร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ปัญหา อุปสรรค และประเด็นที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย Read More »

การศึกษาแนวทางเวชปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้้อในโรงพยาบาล ผ่านการสำรวจในประเทศญี่ปุ่น ไทย และสหรัฐอเมริกา

การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (preventing healthcare-associated infection: HAI) เป็นความท้าทายสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าสุขอนามัยที่ดีสามารถลดอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ การตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลแสดงให้เห็นผ่านโครงการ Clean Care is Safer Care โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแนวทางการปฏิบัติเพื่อสุขอนามัยที่ดีในสถานพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล เช่น โครงการป้องกันการติดเชื้อในประเทศญี่ปุ่น โครงการเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยในประเทศไทย และแผนปฏิบัติการแห่งชาติของกรมอนามัยและบริการมนุษย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าแนวทางเวชปฏิบัติทั่วโลกในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลจะมีความแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่แนวทางเวชปฏิบัติมาตรฐาน ตัวอย่างเช่น การใช้มาตรการการใส่เครื่องป้องกันร่างกายครบถ้วน (maximum barrier precaution) ระหว่างการใส่สายสวนหลอดเลือดส่วนกลาง ซึ่งเป็นข้อแนะนำที่กำหนดขึ้นโดยทั่วไปสำหรับการป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนหลอดเลือดส่วนกลาง (central line–associated bloodstream infection: CLABSI) รวมถึงแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator-associated pneumonia: VAP) และการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ (catheter-associated urinary tract infection: CAUTI) แม้จะมีแนวทางเวชปฏิบัติโดยทั่วไปสำหรับการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับการใช้แนวเวชปฏิบัติเหล่านี้ในโรงพยาบาลกับผู้ป่วยภาวะเฉียบพลันในประเทศต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของการศึกษาเรื่อง “Infection Prevention

การศึกษาแนวทางเวชปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้้อในโรงพยาบาล ผ่านการสำรวจในประเทศญี่ปุ่น ไทย และสหรัฐอเมริกา Read More »

เครื่องฝึกเดิน I-Walk สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ฟื้นฟูสมรรถภาพการเดินได้ดีกว่ากายภาพบำบัดทั่วไปอย่างไร

โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและความบกพร่องต่าง ๆ รวมถึงความสามารถทางการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 30% ไม่สามารถเดินได้อย่างอิสระ ระดับความสามารถในการเดินของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้ความเร็วในการเดินเป็นตัววัด แบ่งได้เป็น การเดินในชุมชน (community ambulation) เป็นความสามารถที่จำเป็นและสำคัญสำหรับผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ความเร็วในการเดิน (gait speed) เป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเดินในชุมชน ความเร็วในการเดินที่ดีบ่งชี้ถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี งานวิจัยก่อนหน้าจำนวนมาก พบว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีความบกพร่องในการเคลื่อนไหวจะเดินได้ช้ากว่าและมีระยะทางในการเดินสั้นกว่าเมื่อเทียบกับคนสุขภาพดี นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะเรื้อรัง (chronic stroke) มากกว่าหรือเท่ากับ 6 เดือน ประมาณ 50% ที่อาศัยอยู่ในชุมชนมีภาวะอ่อนแรงครึ่งซีก (hemiparesis) ไม่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพการเดินและสามารถเดินได้ระยะทางเพียงครึ่งเดียวจากที่คาดการณ์ไว้ วิธีการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการเคลื่อนไหวมีมากมาย ตัวอย่างเช่น การฝึกเดินบนพื้นราบ (overground gait training) หรือกายภาพบำบัดทั่วไป (conventional physical therapy) การฝึกเดินขึ้นลงบันได (staircase gait training) และการฝึกเดินโดยใช้อุปกรณ์ช่วย (device-assisted gait training) เป็นต้น

เครื่องฝึกเดิน I-Walk สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ฟื้นฟูสมรรถภาพการเดินได้ดีกว่ากายภาพบำบัดทั่วไปอย่างไร Read More »

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ร่วมของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โดย รศ.ปกรณ์ เสริมสุข คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) นับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่มีเป้าประสงค์ “เพื่อให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยมีหลักประกันสุขภาพ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยบริการที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ตอบสนองต่อสังคม รวมถึงไม่ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วย” โดยมีการกำหนดระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ให้กับหน่วยบริการในรูปแบบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งพบปัญหาว่าประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงยาหรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นหลายกลุ่ม เนื่องจากมีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายน้อยรายหรือรายเดียว บางรายการติดปัญหาเรื่องสิทธิบัตร ทำให้ไม่สามารถจัดหายาจากแหล่งผลิตอื่นได้ เพื่อให้ได้ยาและเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหน้าที่จัดทำแผนความต้องการพัสดุ และคุณลักษณะเฉพาะของรายการที่ต้องการจัดซื้อร่วม ส่งให้องค์การเภสัชกรรมก่อนสิ้นปีงบประมาณ จากนั้นองค์การเภสัชกรรมจะทำหน้าที่จัดซื้อร่วมระดับประเทศ และกระจายยาและเวชภัณฑ์เหล่านั้นให้หน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ แม้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สามารถทำให้ผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ขอเสนอจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสรุปได้ว่า การจัดหายาเพื่อส่งให้หน่วยบริการเป็นการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงได้มีการจัดตั้งเครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถีขึ้นเฉพาะกิจ ให้ทำหน้าที่จัดซื้อยาแทน สปสช. เป็นการชั่วคราว ทว่าแนวทางและรูปแบบในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ดังกล่าวมีปัญหาในหลายมิติ เนื่องจากโรงพยาบาลราชวิถีนั้นไม่มีการออกแบบทั้งในเชิงสารสนเทศและการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการจัดการอุปทาน (supply management) อย่างเป็นระบบ ตลอดจนไม่สามารถพยากรณ์ปริมาณการใช้ยา (forecasting) และจัดทำงบประมาณ (budgetary)

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’ Read More »

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มใช้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) แบบสูตรยาหลายขนานร่วมกัน (combined antiretroviral therapy หรือ cART) จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นประมาณ 6,400 ราย โดยกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) พนักงานขายบริการทางเพศ และผู้ใช้สารเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น คู่รักของผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย หรือคู่รักที่มีผลเลือดเป็นลบ เรียกคู่รักกลุ่มนี้ว่า “คู่ที่มีผลเลือดต่าง (serodiscordant couple)” เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะสัมผัสกับเชื้อเอชไอวี โดยกลวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในคู่ที่มีผลเลือดต่าง ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ การรักษาคู่ที่ติดเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มแรกด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบ cART เพื่อกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือด (virologic suppression) และการใช้ยา tenofovir/emtricitabine (TDF/FTC) แบบรับประทานทุกวัน ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ (pre-exposure prophylaxis หรือ PrEP) นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ติดเชื้อ การวางแผนการมีบุตรเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (vertical transmission) และการติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ (horizontal transmission) การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอชไอวีและการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการลดพฤติกรรมเสี่ยง

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง Read More »

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร?

โรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ของการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตราว 600,000 คน ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดทั่วไป (conventional chemotherapy) ประสบความทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากการออกฤทธิ์แบบไม่เลือกเจาะจง (non-selective action) ของยาเคมีบำบัดต่อเซลล์ปกติ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อนุภาคนาโน (nanoparticle) ได้รับการพัฒนาเป็นระบบขนส่งยาสำหรับยาเคมีบำบัดชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา อนุภาคนาโนมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเข้มข้นของยา (drug concentration) ในเซลล์มะเร็งด้วยการเพิ่มการสะสมยา (drug accumulation) ผ่านกลไก 2 แบบคือ 1) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายได้เอง (passive targeting) และ 2) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างจำเพาะ (active targeting) นอกจากนี้อนุภาคนาโนยังช่วยลดการขับยาออก (drug efflux) จากเซลล์มะเร็งอีกด้วย ระบบตัวพาขนาดนาโนเมตรนี้สามารถนำส่งยาสู่มะเร็งเป้าหมายได้ 2 แบบ คือ ซึ่งการทำงานของอนุภาคนาโนผ่านกลไกทั้งสองแบบนี้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเซลล์มะเร็งเพิ่มสูงขึ้น การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร? Read More »

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “บริการทางวิชาการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ และนวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองจากโรคได้เทียบเท่าคนทั่วไป เช่น คนพิการทางสายตาที่ต้องสัมผัสพื้นผิวมากกว่าปกติ คนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยหรือล้างมือด้วยตนเอง คนพิการทางจิต/สติปัญญา/ออทิสติก ที่ไม่สามารถเข้าใจมาตรการในการป้องกันโรคได้เท่าคนทั่วไป และหากคนพิการเจ็บป่วยก็อาจจะต้องใช้ทรัพยากรในการดูแลมากกว่า รวมถึงอาจมีอาการป่วยหนักกว่าคนทั่วไปเนื่องจากมีโรคร่วมทางกายมากกว่า งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้สำหรับการดูแลคนพิการในแต่ละประเภทความพิการ และสังเคราะห์รูปแบบและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม เเละอุตสาหกรรม และเป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ  ซึ่งงานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกประเด็นกับกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง และการถอดบทเรียนและองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมการดูแลคนพิการ กับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’ Read More »

Scroll to Top