SDG9

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

การบรรลุความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพถือเป็นเป้าหมายนโยบายที่สำคัญต่อสุขภาวะของประชากรโดยรวมในทุกประเทศ และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) การปรับปรุงความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุ SDGs แต่ทว่าการตรวจสอบและประเมินการเข้าถึงบริการสุขภาพนั้นค่อนข้างซับซ้อน หลายประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ในการศึกษาการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (geographic information system: GIS) ได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ความต้องการด้านการรักษาพยาบาล การเข้าถึง และการได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพ โดยเชื่อมโยงความหลากหลายของประชากรกับข้อมูลสิ่งแวดล้อม เพื่อวิเคราะห์และกำหนดลักษณะความต้องการในมิติต่าง ๆ จากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อุปสรรคทางภูมิศาสตร์ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำให้การได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพลดลง ลดการเข้าถึงบริการเชิงป้องกัน และลดอัตราการรอดชีวิต ซึ่งอาจส่งผลให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล รวมถึงไม่ได้รับประโยชน์จากการรักษาเฉพาะทาง เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็ง และศูนย์แม่และเด็ก ซึ่งมักพบในเมืองใหญ่มากกว่า จึงไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและชุมชนห่างไกล แม้ว่าประชาชนทุกคนควรได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติยังมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัด เช่น สถานพยาบาล หรือบุคลากรในวิชาชีพด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น คลินิกสุขภาพเคลื่อนที่ (mobile health clinic) จึงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ได้รับการยอมรับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ สนับสนุนและบรรเทาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในพื้นที่ยากลำบากและด้อยโอกาส โดยนำระบบดูแลสุขภาพออกจากโรงพยาบาลไปสู่ประชาชน รูปแบบการให้บริการสุขภาพนี้สามารถขยายการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม […]

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Read More »

TU SDG Seminars | การทำงานวิจัยด้านอาหารและยาร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ปัญหา อุปสรรค และประเด็นที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย โดย รศ. ดร.ประภาศรี เทพรักษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ดร.สุเมธ คงเกียรติไพบูลย์ ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิด โดยแบ่งประเด็นการพูดคุยออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมาของนักวิจัยและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และ 2) การเสนอแนะหัวข้อการวิจัยที่น่าสนใจในปัจจุบันและการบูรณาการกับสาขาอื่น ๆ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและยาของประเทศไทย จึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม 01 – การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ผลงานวิจัยที่ผ่านมาของ รศ. ดร.ประภาศรี ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยที่ได้รับโจทย์มาจากผู้ประกอบการภาคเอกชน แล้วจึงพัฒนาเป็นโครงร่างการวิจัยขึ้นมา

TU SDG Seminars | การทำงานวิจัยด้านอาหารและยาร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ปัญหา อุปสรรค และประเด็นที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย Read More »

การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม มีสิ่งใดที่ต้องคำนึงถึงบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.อุรุยา วีสกุล’

ชวนอ่านงานวิจัย “ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด สำหรับอุตสาหกรรมรายสาขา (ภายใต้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (บูรณาการ))” โดย รศ. ดร.อุรุยา วีสกุล ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) มีนโยบายส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมระดับรายสาขา ให้นำเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดมาปฏิบัติใช้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การป้องกันมลพิษ ลดการใช้วัตถุดิบ พลังงาน และน้ำ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด (cleaner technology: CT) เป็นแนวคิดและเทคนิคในการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด โดยมีการเก็บข้อมูลและตรวจประเมินอย่างเป็นระบบ ทำให้รู้สาเหตุของผลกระทบ และหาทางป้องกันและแก้ไขได้ถูกต้อง ทั้งในด้านบุคลากร วิธีการปฏิบัติ และการจัดการเทคโนโลยี โดยคำนึงถึงลำดับความสำคัญของปัญหา ความเหมาะสมในการนำมาปรับปรุงและปฏิบัติใช้ในองค์กร และมีความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา จึงช่วยลดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายในการจัดการของเสีย รวมทั้งลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมการทำเครื่องดื่มจากผักหรือผลไม้ เป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมาก มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้กำหนดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดไปสู่การปฏิบัติใช้จริงให้กับอุตสาหกรรมการทำเครื่องดื่มจากผักหรือผลไม้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนากระบวนการผลิต และตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการพัฒนาศักยภาพในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการทำเครื่องดื่มจากผักหรือผลไม้สามารถพัฒนาเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม มีสิ่งใดที่ต้องคำนึงถึงบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.อุรุยา วีสกุล’ Read More »

TU SDG Seminars | เจาะลึกการขับเคลื่อนด้าน ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ผ่านงานวิจัย ตามบริบทประเทศไทย – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย โดย รศ. ดร.บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในกลุ่มการวิจัยเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย SDGs ในระดับชาติและภูมิภาค (policy) เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดและนำเสนองานวิจัยของนักวิจัยแนวหน้า โดยแบ่งประเด็นการแลกเปลี่ยนออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ฉายภาพรวมกระบวนการในห้องย่อย พร้อมส่องประเด็นจากกิจกรรมการประชุมปฏิบัติการ และ 2) ทบทวนประเด็นสำคัญจากงานวิจัยที่เกี่ยวกับ ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ของนักวิจัยแนวหน้า ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกระบวนการวิจัยเชิงนโยบาย และข้อเสนอเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในบริบทของประเทศไทย งานสัมมนาจากประเด็นการแลกเปลี่ยนทั้ง 2 ส่วน จึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ เป้าหมายที่ 9  โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ 13

TU SDG Seminars | เจาะลึกการขับเคลื่อนด้าน ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ผ่านงานวิจัย ตามบริบทประเทศไทย – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย Read More »

โครงการหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการประเมินและผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล’

ชวนอ่านงานวิจัย “ประเมินผลโครงการคลินิกเทคโนโลยีและโครงการหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561” โดย รศ. ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการดำเนินงานคัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพและความพร้อม จัดตั้งเป็นหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้หมู่บ้านและชุมชนนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต และมีการแพร่กระจายสู่ชุมชนมากยิ่งขึ้น จึงเกิดเป็นการผสมผสานกับการดำเนินงานเครือข่ายการถ่ายทอดเทคโนโลยี (คลินิกเทคโนโลยี) พัฒนามาเป็นหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หมู่บ้าน วท.) โครงการหมู่บ้าน วท. นี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้สมาชิกมีทักษะและความชำนาญ ขยายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำของชุมชนในชนบท สร้างพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการมีส่วนร่วมของคนในหมู่บ้าน/ชุมชน เช่น การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ การสังเกต การระบุปัญหา การทดลอง การจดบันทึก การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลและการสรุปผล เพื่อปรับปรุงทัศนคติ (attitude) ให้เกิดกระบวนการคิดอย่างวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้มอบหมายให้ รศ. ดร. ธีร

โครงการหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการประเมินและผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล’ Read More »

การจำลองโครงข่ายการจัดการขยะอย่างยั่งยืน สำหรับระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ผ่านการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์

ระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (municipal solid waste management: MSWM) ที่ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลและไม่มีประสิทธิภาพเป็นปัญหาท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยทั่วไปในเขตเมือง สถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลมักก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดและความสามารถในการกำจัดของเสียเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองมีความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารปนเปื้อนที่ปล่อยออกมาจากการกำจัดขยะมูลฝอยนั้นมากขึ้น ความเสี่ยงจากการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองประสบ มีสาเหตุมาจาก ในประเทศกำลังพัฒนา การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินลดลงและสร้างภาระทางการเงินแก่ประชากรในท้องถิ่นในแง่ของค่าใช้จ่ายด้านสุขอนามัยที่สูงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องเพิ่มความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม (environmental justice) เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์เพื่อทำให้บรรลุผลสำเร็จ โดยอ้างถึงแนวคิดที่ว่าผู้อยู่อาศัยในชุมชนทั้งหมดต้องได้รับการปกป้องจากความเครียดอันเนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่มากเกินไปหรือไม่ได้สัดส่วน และจำเป็นต้องประเมินความสามารถของแต่ละชุมชนในการทนต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้มักต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านสุขอนามัย ความต้องการทางการเงินอาจทำให้ชุมชนมีงบประมาณไม่เพียงพอ และไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอยในชุมชนได้อย่างเหมาะสม ทำให้สุขภาพของประชาชนในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมถดถอยลง ดังนั้น การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ยั่งยืนจึงต้องรวมประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมอยู่ในแผนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การจัดตั้งระบบจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนการออกแบบโครงข่ายและการวางแผนการขนส่ง การเลือกพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ความเหมาะสมของที่ดินอย่างรอบคอบ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถานจัดการกับชุมชนท้องถิ่น รวมถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ อุทกวิทยา และเศรษฐกิจสังคมจำเป็นต้องนำมาพิจารณาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการศึกษา “Multiobjective Optimization Model for Sustainable Waste Management Network Design” โดย ผศ. ดร.สัณห์ โอฬาพิริยกุล ดร.วรุธ ปานนักฆ้อง วฤทธิ์ คชาปัญญา และ

การจำลองโครงข่ายการจัดการขยะอย่างยั่งยืน สำหรับระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ผ่านการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ Read More »

สำรวจแนวทางการจัดการ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” จากประเทศไทย ลาว และจีน เพื่อค้นหาวิธีการกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ (electronic waste หรือ e-waste) มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในด้านการจัดการขยะนั้น หลายคนยังคงจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ด้วยวิธีการเดียวกับขยะทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะเฉพาะตัวหลายประการโดยเฉพาะวิธีการกำจัดที่ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันกับขยะประเภทอื่น ส่งผลให้ในปัจจุบันหลายประเทศยังคงมีวิธีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไม่ถูกวิธีมากนัก เพื่อค้นหาวิธีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จึงนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Development of an analytical method for quantitative comparison of the e-waste management systems in Thailand, Laos, and China” โดย Assistant Professor Dr.Li Liang คณะสาธารณสุขศาสตร์ และ รศ. ดร.อลิส ชาร์ป สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้เลือกศึกษาระบบการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาใช้ในประเทศไทย ลาว และจีนมาเป็นกรณีเปรียบเทียบในการศึกษา  ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) หมายถึง ขยะในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (electrical

สำรวจแนวทางการจัดการ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” จากประเทศไทย ลาว และจีน เพื่อค้นหาวิธีการกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ Read More »

พัฒนาแช็ตบอตเพื่อช่วยบริหารงานท้องถิ่นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์สภาพความเป็นจริง ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์’ และคณะ

ชวนอ่าน “โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาเนื้อหาสำหรับปัญญาประดิษฐ์ด้านการบริหารงานท้องถิ่น ประจำปี 2565” โดย รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์  ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะผู้วิจัย ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) บทบาทสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือการจัดทำบริการสาธารณะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนในพื้นที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าใจการบริหารงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี พบว่าปัญหาประการหนึ่งคือบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลับไม่รู้หรือไม่เข้าใจกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารของตน ส่งผลให้การบริการสาธารณะชะงักและไม่สามารถตอบโจทย์คนในพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สถาบันพระปกเกล้าจึงพยายามสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทว่ายังคงไม่สามารถเผยแพร่ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่มีมากกว่า 7,800 แห่งได้อย่างทั่วถึง และในปีงบประมาณ 2564 วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า ก็ยังได้ดำเนินการจัดทำโครงการศึกษาวิจัยโดยมีเป้าหมายเพื่อนำเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และระบบถาม-ตอบ หรือ แช็ตบอต (chatbot) มาใช้ในการค้นหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้การค้นหาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลปกครองอันเป็นตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มาพัฒนาเป็นฐานข้อมูล “คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และได้มีการพัฒนาและทดสอบโปรแกรมเพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและตรงความต้องการ (proof of concept)  เพื่อขยายผลการศึกษาและพัฒนาการนำปัญญาประดิษฐ์และระบบถาม-ตอบมาใช้สำหรับแนะนำแนวปฏิบัติของการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น รศ. ดร.นพพร และคณะ จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ  1) เพื่อพัฒนาฐานข้อมูล

พัฒนาแช็ตบอตเพื่อช่วยบริหารงานท้องถิ่นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์สภาพความเป็นจริง ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์’ และคณะ Read More »

นวัตกรรมเพื่อสังคมที่เหมาะสมกับประเทศไทย มีทิศทางการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุน อย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล’

ชวนอ่านงานวิจัย “ศึกษาทิศทางการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่เหมาะสมกับประเทศไทย” โดย รศ. ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล  คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวสู่การปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม พลังงาน การเกษตร สาธารณสุข รวมถึงการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยมีกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของประชาคมโลก (sustainable development goals: SDGs) โดยพัฒนาและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความท้าทายในการขับเคลื่อนต่อการพัฒนาประเทศคือ “การขยายผลเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ประชาชน” เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางนวัตกรรมของสังคม การสร้างเครือข่ายธุรกิจ การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ กำลังการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนากำลังคน โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ “เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน” ภายใต้กรอบประเด็นนวัตกรรมเพื่อสังคม (social

นวัตกรรมเพื่อสังคมที่เหมาะสมกับประเทศไทย มีทิศทางการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุน อย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล’ Read More »

การศึกษาแนวทางเวชปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้้อในโรงพยาบาล ผ่านการสำรวจในประเทศญี่ปุ่น ไทย และสหรัฐอเมริกา

การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (preventing healthcare-associated infection: HAI) เป็นความท้าทายสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าสุขอนามัยที่ดีสามารถลดอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ การตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลแสดงให้เห็นผ่านโครงการ Clean Care is Safer Care โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแนวทางการปฏิบัติเพื่อสุขอนามัยที่ดีในสถานพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล เช่น โครงการป้องกันการติดเชื้อในประเทศญี่ปุ่น โครงการเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยในประเทศไทย และแผนปฏิบัติการแห่งชาติของกรมอนามัยและบริการมนุษย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าแนวทางเวชปฏิบัติทั่วโลกในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลจะมีความแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่แนวทางเวชปฏิบัติมาตรฐาน ตัวอย่างเช่น การใช้มาตรการการใส่เครื่องป้องกันร่างกายครบถ้วน (maximum barrier precaution) ระหว่างการใส่สายสวนหลอดเลือดส่วนกลาง ซึ่งเป็นข้อแนะนำที่กำหนดขึ้นโดยทั่วไปสำหรับการป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนหลอดเลือดส่วนกลาง (central line–associated bloodstream infection: CLABSI) รวมถึงแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator-associated pneumonia: VAP) และการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ (catheter-associated urinary tract infection: CAUTI) แม้จะมีแนวทางเวชปฏิบัติโดยทั่วไปสำหรับการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับการใช้แนวเวชปฏิบัติเหล่านี้ในโรงพยาบาลกับผู้ป่วยภาวะเฉียบพลันในประเทศต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของการศึกษาเรื่อง “Infection Prevention

การศึกษาแนวทางเวชปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้้อในโรงพยาบาล ผ่านการสำรวจในประเทศญี่ปุ่น ไทย และสหรัฐอเมริกา Read More »

Scroll to Top