SDG8

สำรวจบทบาทของศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมและศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ในการร่วมมือและพัฒนากลยุทธ์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย

กลยุทธ์บ่มเพาะธุรกิจเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยลดอัตราความล้มเหลวของธุรกิจขนาดย่อมและช่วยสนับสนุนธุรกิจที่เติบโต ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น สำหรับประเทศไทยเริ่มขยับขับเคลื่อนการส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการและสนับสนุนการสร้างธุรกิจใหม่ต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังจากวิกฤติทางการเงินในเอเชีย ปี 2540 หรือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางระดับล่างไปสู่เศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางระดับบน ทั้งนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจของการบ่มเพาะธุรกิจ นั่นคือการใช้ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมและศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษาเป็นหัวเรือหลักในการอบรมและเผยแพร่ความรู้ และประสานงานระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐบาล มหาวิทยาลัย และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการประสานความร่วมมือไตรภาคี (triple helix) ที่จะสร้างพลังในการผลักดันให้ผู้ประกอบการมีทักษะความรู้ที่ครอบคลุม เข้าถึงเครื่องมือได้สะดวก และสามารถเข้าสู่ตลาดธุรกิจ นวัตกรรม และเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนาแนวทางดำเนินการของศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมและศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ ศ. ดร.จารุณี วงศ์ลิมปิยะรัตน์ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้ดำเนินงานวิจัย “The innovation incubator, university business incubator and technology transfer strategy: The case of Thailand” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์การบ่มเพาะธุรกิจและทบทวนบทบาทของศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม (innovation incubator) และศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (university business incubator: UBI) ในการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการในประเทศไทย  ด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและร่วมมือพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจ นวัตกรรม และเทคโนโลยี […]

สำรวจบทบาทของศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมและศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ในการร่วมมือและพัฒนากลยุทธ์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย Read More »

สำรวจเเนวทางบำบัดน้ำทิ้งของรีสอร์ตในอัมพวา ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียบึงประดิษฐ์การไหลเวียนใต้ชั้นกรอง ทางเลือกส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เเละยั่งยืน

“การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” เป็นหนึ่งในรูปแบบการท่องเที่ยวสำคัญที่ประเทศไทยนำมาปรับใช้สำหรับการปกป้องทรัพยากรสิ่งแวดล้อม หนึ่งในเรื่องที่ต้องคำนึงถึงคือการปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งจากโฮมสเตย์และรีสอร์ต เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการขยายตัวของเมืองและการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดมลพิษทางน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลต่อสุขภาพความเป็นอยู่และกระทบการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียกว่า 100 แห่ง แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ได้ผลตามที่คาดหวัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดบุคลากรที่มีทักษะในการดำเนินงานโรงบำบัด และการลงทุนสำหรับการดำเนินการโรงบำบัดไม่เพียงพอ ขณะที่ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า โรงบำบัดน้ำเสียเหล่านั้นสามารถบำบัดน้ำเสียได้เพียง 27% ของน้ำเสียจากครัวเรือนทั้งประเทศ และหากสำรวจตรวจสอบโฮมสเตย์หรือรีสอร์ตจะพบว่ามีหลายแห่งที่เป็นแหล่งปล่อยน้ำทิ้งสู่สิ่งแวดล้อมเนื่องจากไม่มีระบบบำบัดน้ำที่มีคุณภาพ “อำเภออัมพวา” จังหวัดสมุทรสงคราม หนึ่งในปลายทางการท่องเที่ยวขึ้นชื่อของไทยก็เผชิญปัญหาดังกล่าว โดยข้อมูลจากตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา ระบุว่าอัมพวามีรีสอร์ตและโฮมสเตย์รวมทั้งสิ้น 26 แห่ง ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กไม่เกิน 10 ห้องพัก แต่พบว่าหลายแห่งเป็นการปรับปรุงมาจากบ้านเก่า (renovation) ไม่มีการก่อร่างสร้างเชื่อมระบบการจัดการน้ำทิ้ง ส่งผลให้น้ำทิ้งมีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคูคลองที่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอดังกล่าว ทั้งนี้ หากพิจารณาแนวทางของการจัดการน้ำทิ้งจะพบว่าแนวทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับพื้นที่อัมพวานั่นคือ “ระบบบำบัดน้ำเสียบึงประดิษฐ์การไหลเวียนใต้ชั้นกรอง” (subsurface flow constructed wetlands: SFCWs) เนื่องจากเป็นการบำบัดน้ำเสียที่ใช้ธรรมชาติเป็นฐาน มีต้นทุนไม่สูงมาก ชุมชนหรือเจ้าของกิจการรายย่อยสามารถจัดตั้งระบบได้ อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำสำหรับการเกษตรได้อีกด้วย เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพและผลในการริเริ่มจัดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าวในพื้นที่อัมพวา ดร.วรุณศักดิ์ เลี่ยมแหลม และ ศ. ดร.จงรักษ์ ผลประเสริฐ คณะวิศวกรรมศาสตร์

สำรวจเเนวทางบำบัดน้ำทิ้งของรีสอร์ตในอัมพวา ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียบึงประดิษฐ์การไหลเวียนใต้ชั้นกรอง ทางเลือกส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เเละยั่งยืน Read More »

สำรวจการนำ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ มาใช้ ในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย พร้อมค้นหาปัจจัยหนุนเสริมและอุปสรรค

ปัจจุบัน โลกได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ซึ่งหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอย่าง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy : CE) มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความยั่งยืน โดยได้ให้ความสำคัญกับการปรับใช้หมุนเวียนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยเรื่อง “Circular Economy: Exploratory Study of Steel Industry in Thailand” โดย Vichathorn Piyathanavong สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ  เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy (CE) เป็นโมเดลทางเศรษฐศาสตร์ที่ช่วยในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม เพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต พร้อมช่วยคงสภาพมูลค่าของผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบ ให้สามารถใช้ได้ในระยะยาว รวมถึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งลดของเสียและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ความสำคัญกับการสร้างวัฏจักรหมุนเวียนของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ พลังงาน และการจัดการของเสียที่เหลือทิ้ง นอกจากนี้ เศรษฐกิจหมุนเวียน ยังมีศักยภาพในการช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยรักษาทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ  เมื่อผลิตภัณฑ์หมดอายุการใช้งาน (End-of-Life : EoL) ก็สามารถนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น แตกต่างจากเศรษฐกิจแบบเส้นตรง

สำรวจการนำ ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ มาใช้ ในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย พร้อมค้นหาปัจจัยหนุนเสริมและอุปสรรค Read More »

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นคาร์บอนในเหล็ก การผลิตเหล็กจากกล่องอาหารทดแทนการใช้ถ่านหินได้หรือไม่? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์’

ชวนอ่านงานวิจัย “การใช้ประโยชน์ขยะพอลิเมอร์กล่องบรรจุอาหารที่เกิดขึ้นจากธุรกิจส่งอาหารในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อการผลิตเหล็กกล้าแบบยั่งยืน : การผลิตคาร์บอนกราไฟต์และการประยุกต์ใช้เป็นสารเพิ่มคาร์บอนในเหล็กเหลว” โดย รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) การดำเนินนโยบายให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจส่งอาหาร (food delivery) เฟื่องฟูและเป็นที่นิยมอย่างมาก ทว่าปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาคือ ขยะที่เป็นกล่องบรรจุอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นวัสดุพอลิเมอร์หรือพลาสติกซึ่งย่อยสลายได้ยาก โดยทั่วไปแล้วขยะพอลิเมอร์ที่ใช้เป็นกล่องบรรจุอาหารมี 2 ชนิดคือ พอลิโพรไพลีน (polypropylene: PP) ซึ่งอยู่ในรูปของกล่องพลาสติกขาวขุ่น และพอลิสไตรีน (polystyrene: PS) ที่อยู่ในรูปของกล่องพลาสติกใสอ่อน กล่อง/ถาดโฟมสีขาว รวมทั้งช้อนส้อมพลาสติกและฝาแก้วกาแฟร้อนสีขาว เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีกำจัดขยะโดยการเผาหรือนำไปทิ้งตามพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและเหล็กกล้า คาร์บอนเป็นธาตุที่สำคัญมากในกระบวนการผลิต โดยเป็นทั้งเชื้อเพลิงและเป็นตัวทำปฏิกิริยาระหว่างการถลุงเหล็กในเตาหลอม แหล่งของคาร์บอนที่ใช้ในกระบวนการผลิตคือ ถ่านหิน ถ่านโค้ก ถ่านแอนทราไซต์ กราไฟต์ เป็นต้น แต่ทว่าการใช้ถ่านหินหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านี้ในกระบวนการผลิต ทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศออกสู่ระบบนิเวศมากตามไปด้วย

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นคาร์บอนในเหล็ก การผลิตเหล็กจากกล่องอาหารทดแทนการใช้ถ่านหินได้หรือไม่? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.สมยศ คงคารัตน์’ Read More »

การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ คืออะไร? นำมาใช้ศึกษากับการยางแห่งประเทศไทยอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.พาญพล พึ่งรัศมี’

ชวนอ่านงานวิจัย “ศึกษาวิจัยพร้อมประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (eco-efficiency) ของการยางแห่งประเทศไทย ตามแนวทางปฏิบัติที่ดี ISO 14045 ประจําปีงบประมาณ 2563” โดย รศ.ดร.หาญพล พึ่งรัศมี ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนจากการยางแห่งประเทศไทย เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) จากสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนน้ำ การลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ และการทำลายสิ่งแวดล้อม ล้วนมีผลมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรม ทำให้มีการใช้ทรัพยากร วัตถุดิบ และพลังงาน รวมถึงก่อให้เกิดมลภาวะจากการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต กระบวนการผลิต การขนส่ง รวมทั้งการปล่อยของเสีย และการกำจัดของเหลือใช้จากกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้จึงเกิดแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ผนวกกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจ พร้อมทั้งดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและการลดการปล่อยมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม หรือหลักการที่เรียกว่า การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (eco-efficiency) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดการของภาคอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจควบคู่กับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การยางแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพารา ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางในด้านวิชาการ การเงิน การแปรรูป การตลาด และดำเนินการให้ระดับราคายางพารามีเสถียรภาพ โดยมียุทธศาสตร์ของการยางแห่งประเทศไทย ดังนี้ รศ.ดร.หาญพล และการยางแห่งประเทศไทย ต้องการศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยใช้หลักการการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ เพื่อให้ครอบคลุมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กันอย่างสมดุล

การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ คืออะไร? นำมาใช้ศึกษากับการยางแห่งประเทศไทยอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.พาญพล พึ่งรัศมี’ Read More »

สำรวจปัจจัยที่กลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นใช้เลือก ‘การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน’ ผ่านงานวิจัยที่เน้นเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักด้วยมาตรการปิดพรมแดนประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงลดน้อยลง ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2563 โรงแรมในญี่ปุ่นล้มละลายเพิ่มขึ้นกว่า 57% ขณะที่โรงแรมในไทยถูกคาดการณ์ว่าปิดกิจการภายในสิ้นปี 2564 ไปกว่า 47% อย่างไรก็ดีมีความพยายามมองหาทางเลือกในการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อโอบอุ้มและกระตุ้นกิจการการท่องเที่ยวไม่ให้ถดถอยมากจนเกินไป และหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจไม่น้อยนั่นคือ “vaccine tourism” หรือ “การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน” ซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศปลายทางสามารถฉีดวัคซีนได้ฟรี เนื่องจากบางประเทศมีวัคซีนเกินความต้องการใช้จึงนำวัคซีนที่เหลือมาเปลี่ยนเป็นจุดดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างครอบคลุมหรือได้รับวัคซีนชนิดที่ไม่ต้องการ โดยปัจจุบันการท่องเที่ยวแนวนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และคิวบา กระนั้น เมื่อสำรวจงานวิจัยและเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ผ่านระบบ Scopus พบว่ามีงานวิจัยเพียง 28 งานวิจัยเท่านั้น และเมื่อจำกัดการค้นหาระบุเอกสารที่คำว่า “vaccine tourism” เป็นคำหลัก พบว่ามีงานวิจัยเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่ งานวิจัย “Decoding the global trend of “vaccine tourism” through public sentiments and emotions:

สำรวจปัจจัยที่กลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นใช้เลือก ‘การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน’ ผ่านงานวิจัยที่เน้นเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม Read More »

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’

ชวนอ่านงานวิจัย “การพัฒนาชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียนเชิงบูรณาการด้วยนวัตกรรมการเชื่อมต่อระบบขนส่งทางน้ำ” โดย รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันประเทศไทยมีชุมชนแออัดมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน สะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และการกระจุกตัวของสิ่งก่อสร้าง ประกอบกับความหนาแน่นของประชากรและข้อจำกัดด้านที่ดิน ส่งผลให้เมืองกลืนกินกลุ่มชุมชนเปราะบางมากขึ้น โดยในหลายพื้นที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการพัฒนาที่สร้างมูลค่าที่ดินได้มากกว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชุมชนรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย โดยมีความพยายามในการพัฒนาและปรับปรุงด้วยหลากหลายวิธีตามสภาพปัญหา แต่กลไกที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนควรพิจารณาถึงการสร้างการพึ่งพาตนเองที่สามารถสร้างโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความเป็นตัวตนของชุมชนเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง สามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสที่พึงจะได้ สู่การเป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยปัญหาข้างต้นจึงเป็นที่มาของโครงการวิจัยนี้ โดย รศ.ดร.ภาวิณี ได้ศึกษาพื้นที่ชุมชนริมคลองลาดพร้าวเป็นชุมชนต้นแบบ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณคลองลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นคลองที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเพื่อระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ จึงควรสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อของการเดินทางด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงด้วยการใช้ประโยชน์และการพัฒนาทรัพยากรที่นำไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ที่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนได้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’ Read More »

พัฒนาอุตสาหกรรมผ่าน ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ดำเนินการอย่างไร? ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมระดับพื้นที่ ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.พีระ เจริญพร’

ชวนอ่านงานวิจัย “จัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สู่การพัฒนาในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัด” ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)   งานวิจัยฉบับนี้ ศึกษาเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนและขยายผลการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนลงสู่ระดับพื้นที่ พร้อมเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านรูปแบบการผลิตตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการ จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนบนวัตถุประสงค์หลักที่ได้กำหนดไว้ คือ 1) เพื่อจัดทำแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่การพัฒนาในระดับพื้นที่พร้อมนำไปสู่การขับเคลื่อนภายในพื้นที่ และ 2) เป็นโมเดลการพัฒนาเชิงพื้นที่ต้นแบบ (role model) ที่จะนำไปสู่การผลักดันและขยายผลการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นวงกว้าง โดยให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน เป็นพื้นที่ต้นแบบนำร่องในการดำเนินการ สำหรับแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตาม ‘แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ตั้งเป้าหมายมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิตจากรูปแบบเดิมสู่รูปแบบใหม่ในระดับพื้นที่ โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการการผลิต การบริโภค การจัดการของเสีย และการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดของเสีย และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ตามรายละเอียดของแผนฯ รวมถึงใช้ประโยชน์ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน จากงานวิจัย รศ. ดร.พีระ ได้ดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่นำร่อง โดยได้จัดทำโมเดลต้นแบบ (role

พัฒนาอุตสาหกรรมผ่าน ‘เศรษฐกิจหมุนเวียน’ ดำเนินการอย่างไร? ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมระดับพื้นที่ ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.พีระ เจริญพร’ Read More »

แฟชั่นที่มีสไตล์พร้อมใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนากระบวน ‘การผลิตที่ยั่งยืน’ ได้อย่างไร 

อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีจำนวนการผลิตสะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยกระบวนการผลิตที่ง่ายขึ้นและต้องหมุนไปตามกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หลายครั้งเสื้อผ้าที่ถูกใช้งานแล้วต้องถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะ จึงกลายเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีการสร้างมลพิษที่เพิ่มขึ้น มีการใช้น้ำมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ และมักปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษ รวมถึงใช้พลังงานจำนวนมหาศาล ทั้งนี้ ปัจจุบันเสื้อผ้าส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่มีส่วนช่วยในการดูแลโลก ดังนั้น จึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจผลกระทบต่อ ‘สังคม’ และ ‘สิ่งแวดล้อม’ มากขึ้น  ด้วยปัญหาข้างต้น เพื่อค้นคว้าหาคำตอบในการผลิตอย่างยั่งยืน จึงเกิดเป็นงานวิจัยเรื่อง “Eco-Fashion Designing to Ensure Corporate Social Responsibility within the Supply Chain in Fashion Industry” โดย ผศ.ดร.วรางคณา จุติดำรงค์พันธ์  คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดร.เอ็มดี ทารีค บิน ฮุซไซน์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ ได้ศึกษางานวิจัยฉบับนี้ ร่วมกันช่วยพิจารณาว่า ‘วิธีใดช่วยให้อุตสาหกรรมแฟชั่นมีความตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น’ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อทำความเข้าใจความต้องการในการดำเนินกระบวนการออกแบบและผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นในทางปฏิบัติ โดยศึกษาอุตสาหกรรมบางแห่งในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่

แฟชั่นที่มีสไตล์พร้อมใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนากระบวน ‘การผลิตที่ยั่งยืน’ ได้อย่างไร  Read More »

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ร่วมของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โดย รศ.ปกรณ์ เสริมสุข คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) นับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่มีเป้าประสงค์ “เพื่อให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยมีหลักประกันสุขภาพ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยบริการที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ตอบสนองต่อสังคม รวมถึงไม่ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วย” โดยมีการกำหนดระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ให้กับหน่วยบริการในรูปแบบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งพบปัญหาว่าประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงยาหรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นหลายกลุ่ม เนื่องจากมีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายน้อยรายหรือรายเดียว บางรายการติดปัญหาเรื่องสิทธิบัตร ทำให้ไม่สามารถจัดหายาจากแหล่งผลิตอื่นได้ เพื่อให้ได้ยาและเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหน้าที่จัดทำแผนความต้องการพัสดุ และคุณลักษณะเฉพาะของรายการที่ต้องการจัดซื้อร่วม ส่งให้องค์การเภสัชกรรมก่อนสิ้นปีงบประมาณ จากนั้นองค์การเภสัชกรรมจะทำหน้าที่จัดซื้อร่วมระดับประเทศ และกระจายยาและเวชภัณฑ์เหล่านั้นให้หน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ แม้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สามารถทำให้ผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ขอเสนอจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสรุปได้ว่า การจัดหายาเพื่อส่งให้หน่วยบริการเป็นการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงได้มีการจัดตั้งเครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถีขึ้นเฉพาะกิจ ให้ทำหน้าที่จัดซื้อยาแทน สปสช. เป็นการชั่วคราว ทว่าแนวทางและรูปแบบในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ดังกล่าวมีปัญหาในหลายมิติ เนื่องจากโรงพยาบาลราชวิถีนั้นไม่มีการออกแบบทั้งในเชิงสารสนเทศและการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการจัดการอุปทาน (supply management) อย่างเป็นระบบ ตลอดจนไม่สามารถพยากรณ์ปริมาณการใช้ยา (forecasting) และจัดทำงบประมาณ (budgetary)

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’ Read More »

Scroll to Top