SDG16

SDG Move ร่วมกับยูเนสโกจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะไทย

ทีมงาน SDG Move ร่วมกับยูเนสโกจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการพัฒนาศักยภาพสําหรับหน่วยงานราชการไทยในการติดตามและรายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) 16.10.2 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 SDG Move โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ชล บุนนาค ผู้อำนวยการ  คุณนันทินี มาลานนท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายเครือข่าย พร้อมด้วยคณะทำงาน ร่วมกับองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ในฐานะหน่วยงานจากองค์การสหประชาชาติผู้รับผิดชอบการติดตามตัวชี้วัดที่ 16.10.2 จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการพัฒนาศักยภาพสําหรับหน่วยงานราชการไทยในการติดตามและรายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) 16.10.2  ณ ห้อง Garden Gallery โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ  การอบรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้หน่วยงานภาครัฐไทยร่วมกันพัฒนารูปแบบ กระบวนการรายงานความก้าวหน้าของกฎหมาย และนโยบายการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะของประเทศไทย ให้สอดคล้องกับแนวทางการรายงานตามตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน  ตัวชี้วัดที่ 16.10.2  “จำนวนของประเทศที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือนโยบายที่ยอมรับและรับประกันการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน”  ซึ่งเป็นหนึ่งในสองตัวชี้วัดที่ใช้สะท้อนสถานการณ์การบรรลุเป้าหมายย่อยที่ 16.10 สร้างหลักประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีการปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศ โดยตัวชี้วัดที่ 16.10.2 จะมุ่งเน้นไปที่หลักประกันตามกฎหมาย หรือนโยบายที่ทำให้มั่นใจว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐอันจะเกี่ยวพันถึงการทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบเเละแสดงความคิดเห็น ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะมี พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เป็นกฎหมายรับรองสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นประเทศแรกของอาเซียน และมีเนื้อหากำหนดให้หน่วยงานภาครัฐไทยต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ […]

SDG Move ร่วมกับยูเนสโกจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะไทย Read More »

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’

ชวนอ่านงานวิจัย “การขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา” โดย ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยข้อมูลจากสถาบันพระปกเกล้าระบุว่าเฉพาะปีการศึกษา 2559 มีเด็กและเยาวชนวัยเรียน อายุระหว่าง 3 – 17 ปี ซึ่งอยู่ในระบบการศึกษาแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์และการเข้าถึงโอกาสมากถึง 3 ล้านคน นับว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา มากไปกว่านั้นหากพิจารณาปัจจัยเชิงพื้นที่จะพบว่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลยังต้องเผชิญกับการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงเป็นโจทย์สำคัญของภาครัฐ และหนึ่งในการขยับขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นคือ “นโยบายสำคัญสำหรับการพัฒนา ประเทศในช่วงระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)” ภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและเสมอภาค โดยเฉพาะบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถเป็นผู้นำหลักในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่  หนึ่งในมิติความเหลื่อมล้ำที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเหมาะสมที่จะเป็นกลไกสำคัญ นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา เนื่องจากเป็นองค์ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่น มีอำนาจและความรับผิดชอบในการจัดบริการสาธารณะซึ่งครอบคลุมถึงการจัดการศึกษา อีกทั้งยังเป็นองค์กรทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับปัญหาและความต้องการของชุมชนท้องถิ่นมากที่สุด เพื่อให้ศึกษาและค้นคว้าแนวทางขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญของการดำเนินภารกิจสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ผศ.ดร.ทรงชัย จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุป 3 ประการ คือ  จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’ Read More »

พัฒนา ‘สภาวัฒนธรรม’ อย่างไร ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังการมีส่วนร่วมและตอบโจทย์ท้องถิ่น ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “การพัฒนาโครงสร้างคณะกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมด้วยพลังการมีส่วนร่วม ของเครือข่ายในพื้นที่ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม  ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมจึงถือเป็นโจทย์ท้าทายในการทําให้ประชาชนเห็นความสําคัญและเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการขับเคลื่อนการดําเนินงานวัฒนธรรมในท้องถิ่นตนเองให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจึงได้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมในแต่ละระดับ ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการขยายเครือข่ายการดําเนินงานด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ในลักษณะกระจายอํานาจทางวัฒนธรรม และนำมาสู่การริเริ่มโครงการพัฒนาโครงสร้างคณะกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมด้วยพลังการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในพื้นที่ ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553   เพื่อให้ส่งเสริมการพัฒนาสภาวัฒนธรรมต้นแบบดังกล่าว ผศ.รณรงค์ จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุป 3 ประการ คือ  จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง เป้าหมายที่ 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ผศ.รณรงค์ ดำเนินการศึกษาด้วยวิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพและการศึกษาเชิงปริมาณ โดยศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลผ่านการเก็บข้อมูล 3 วิธี ได้แก่ ผลการศึกษาที่สำคัญจากงานวิจัยข้างต้น ได้แก่  นอกจากนี้ ผศ.รณรงค์ ยังได้เสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนงานของสภาวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กล่าวโดยสรุป

พัฒนา ‘สภาวัฒนธรรม’ อย่างไร ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังการมีส่วนร่วมและตอบโจทย์ท้องถิ่น ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’ Read More »

การพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ยั่งยืน ทำไมต้องคำนึงถึง ‘ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ และความร่วมมือ ‘ภาครัฐ-เอกชน’ สำคัญอย่างไร ?

จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันส่งผลให้ ‘เมือง’ ในหลายประเทศเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ระดับทางเศรษฐกิจขยับใหญ่ขึ้น ขณะที่อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานก็ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรเมือง กระนั้นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับเป็นความท้าทายที่ทิ้งโจทย์สำคัญอย่าง “ความยั่งยืน” และ “ครอบคลุม” ให้ต้องคิดหาทางไปให้ถึง เพื่อป้องกันผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ อาทิ ความแออัด มลพิษทางอากาศ และความยากจน  เพื่อค้นคว้าหาแนวทางที่ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน รศ. ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล  จิราวรรณ คล้ายลี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.ไอศูรย์ เรืองรัตนอัมพร สำนักวิชา     วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จึงได้ดำเนินงานวิจัย “Participatory Planning Approach Towards Smart Sustainable City Development” ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะสถาปัตยกรรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  วัตถุประสงค์สำคัญของงานวิจัยข้างต้น คือ การค้นหาแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างเวทีความเข้าใจของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืนโดยการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่มีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 200 คน และเลือกจังหวัดปทุมธานีเป็นกรณีศึกษา ซึ่งหวังให้เป็นต้นแบบในการจัดทำนโยบายการพัฒนาเมืองแก่พื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย

การพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ยั่งยืน ทำไมต้องคำนึงถึง ‘ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ และความร่วมมือ ‘ภาครัฐ-เอกชน’ สำคัญอย่างไร ? Read More »

โอนอำนาจจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้ อปท. มีความพร้อมแค่ไหน – ต้องหนุนเสริมอะไรเพิ่มบ้าง ? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ศ.ระพีพรรณ คำหอม และคณะ

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาผลการดำเนินงานการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดสู่ความพร้อมการถ่ายโอนภารกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย ศ.ระพีพรรณ คำหอม, ผศ.ดร.ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ และ ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โครงการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 โดยตั้งต้นมาจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย นับว่าเป็นหนึ่งในสวัสดิการสำหรับเด็กในครอบครัวและเป็นการจัดบริการสนับสนุนมิติเศรษฐกิจของครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวที่อยู่ในภาวะยากลำบากทางเศรษฐกิจสามารถนำเงินอุดหนุนไปใช้ในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี  อย่างไรก็ดีจากการติดตามและประเมินผลโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปี 2559 – 2560 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่าโครงการดังกล่าวเกิดปัญหาการเข้าไม่ถึงของกลุ่มเป้าหมายแท้จริง (exclusion error) พร้อมกับการรั่วไหลไปสู่ผู้ที่อยู่นอกกลุ่มเป้าหมาย (inclusion error) เพื่อแก้ปัญหาและช่องโหว่ที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ จึงมีมติเห็นชอบถ่ายโอนอำนาจการดำเนินโครงการแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะมีหน้าที่สำคัญ อาทิ ร่วมค้นหากลุ่มเป้าหมาย ลงทะเบียน การตรวจสอบ สิทธิ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด  เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง ศ.ระพีพรรณ และคณะจึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีเป้าประสงค์สำคัญ คือ การศึกษาความคิดเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อผลการดำเนินงานการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และเปรียบเทียบความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อความพร้อมในการถ่ายโอนภารกิจตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่

โอนอำนาจจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้ อปท. มีความพร้อมแค่ไหน – ต้องหนุนเสริมอะไรเพิ่มบ้าง ? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ศ.ระพีพรรณ คำหอม และคณะ Read More »

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’

ชวนอ่านงานวิจัย “ที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแนวทางศึกษารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก”โดย ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ภายใต้การสนับสนุนจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เป้าหมายหลักของงานวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นการสร้างกลไกการให้บริการการคุ้มครองเด็ก โดยเฉพาะในชุมชนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการติดตาม การรายงาน จนถึงการช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงหรือตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงจากการกระทำที่มิชอบ การแสวงหาประโยชน์ การละเลยทอดทิ้ง และปัญหาอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง และช่วยเหลือเด็กในชุมชนของตนเอง เกิดเป็นแนวทางเป็นรูปธรรมและยั่งยืน  งานวิจัยข้างต้นศึกษา ตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ คือ ประการแรก เพื่อศึกษาหาแนวทางหรือรูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก  ประการที่สอง เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและคุ้มครองเด็กในชุมชนแบบยั่งยืน และประการที่สาม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้หรือจัดทำองค์ความรู้ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป้าหมายที่  10 ลดความเหลื่อมล้ำ และเป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรมและสถาบันเข้มแข็ง เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’ Read More »

Scroll to Top