SDG1

TU SDG Seminars | เจาะลึกแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาและความรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบาง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนา ครั้งที่ 2 หัวข้อ “การวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม” โดย ผศ. ดร.วสิศ ลิ้มประเสริฐ วิทยาลัยสหวิทยาการ และ รศ. ดร.ชุมเขต แสวงเจริญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิด โดยแบ่งประเด็นการพูดคุยออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยผ่านมุมมองของ ผศ. ดร.วสิศ ลิ้มประเสริฐ 2) การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และหัวข้อการวิจัยในอนาคต และ 3) ช่วงถามตอบประเด็นการวิจัยจากผู้เข้าร่วมในห้องสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การเข้าถึงความรู้และทรัพยากร รวมถึงคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง จึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน […]

TU SDG Seminars | เจาะลึกแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาและความรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบาง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม Read More »

เมื่อบางครั้ง ‘ผู้ดูแล’ ก็เหนื่อยล้า ทำความเข้าใจภาระหน้าที่การดูแลผู้ป่วยติดเตียง อะไรคือปัญหาและอุปสรรค

ภาระของผู้ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย (The informal family caregiver burden : IFCB) โดยเฉพาะในการดูแลผู้สูงอายุป่วยเรื้อรังติดเตียง (chronically ill bedridden elderly patients : CIBEPs) นับเป็นประเด็นสำคัญทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก เกิดเป็นความท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการการดูแลแบบประคับประคองของผู้สูงอายุนั้นมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้สูงอายุป่วยเรื้อรังติดเตียง ด้วยประเด็นข้างต้นนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Listening to Caregivers’ Voices: The Informal Family Caregiver Burden of Caring for Chronically Ill Bedridden Elderly Patients” โดย ผศ.จิณพิชญ์ชา มะมม คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Dr. Hanvedes Daovisan สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำมาสู่สำรวจภาระของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดเตียงในประเทศไทย  ประเทศไทย เป็นสังคมที่มีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก ทำให้การดูแลและรักษาผู้ป่วยสูงอายุในปัจจุบัน

เมื่อบางครั้ง ‘ผู้ดูแล’ ก็เหนื่อยล้า ทำความเข้าใจภาระหน้าที่การดูแลผู้ป่วยติดเตียง อะไรคือปัญหาและอุปสรรค Read More »

TU SDG Seminars | สะท้อนความคิดและการศึกษางานวิจัยความยากจน มีอุปสรรคและความท้าทายอย่างไร – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนา ครั้งที่ 2 หัวข้อ “การวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม” โดย รศ. ดร.ณัฐพงษ์ พัฒนพงษ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในกลุ่มการวิจัยเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย SDGs ในระดับชาติและภูมิภาค (policy) เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดและนำเสนองานวิจัยของนักวิจัยแนวหน้า โดยแบ่งประเด็นการแลกเปลี่ยนออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ฉายภาพรวมกระบวนการในห้องย่อย พร้อมส่องประเด็นจากกิจกรรมการประชุมปฏิบัติการ และ 2) ทบทวนประเด็นสำคัญจากงานวิจัยที่เกี่ยวกับ ‘การลดความเหลื่อมล้ำ’ ของนักวิจัยแนวหน้า และ 3) ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองจากกระบวนในห้องย่อยระหว่างนักวิจัย – ผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกระบวนการวิจัยเชิงนโยบาย และข้อเสนอเชิงนโยบายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการลดความเหลื่อมล้ำ งานสัมมนาจากประเด็นการแลกเปลี่ยนทั้ง 3 ส่วน จึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 8

TU SDG Seminars | สะท้อนความคิดและการศึกษางานวิจัยความยากจน มีอุปสรรคและความท้าทายอย่างไร – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม Read More »

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

การบรรลุความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพถือเป็นเป้าหมายนโยบายที่สำคัญต่อสุขภาวะของประชากรโดยรวมในทุกประเทศ และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) การปรับปรุงความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุ SDGs แต่ทว่าการตรวจสอบและประเมินการเข้าถึงบริการสุขภาพนั้นค่อนข้างซับซ้อน หลายประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ในการศึกษาการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (geographic information system: GIS) ได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ความต้องการด้านการรักษาพยาบาล การเข้าถึง และการได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพ โดยเชื่อมโยงความหลากหลายของประชากรกับข้อมูลสิ่งแวดล้อม เพื่อวิเคราะห์และกำหนดลักษณะความต้องการในมิติต่าง ๆ จากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อุปสรรคทางภูมิศาสตร์ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำให้การได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพลดลง ลดการเข้าถึงบริการเชิงป้องกัน และลดอัตราการรอดชีวิต ซึ่งอาจส่งผลให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล รวมถึงไม่ได้รับประโยชน์จากการรักษาเฉพาะทาง เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็ง และศูนย์แม่และเด็ก ซึ่งมักพบในเมืองใหญ่มากกว่า จึงไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและชุมชนห่างไกล แม้ว่าประชาชนทุกคนควรได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติยังมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัด เช่น สถานพยาบาล หรือบุคลากรในวิชาชีพด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น คลินิกสุขภาพเคลื่อนที่ (mobile health clinic) จึงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ได้รับการยอมรับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ สนับสนุนและบรรเทาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในพื้นที่ยากลำบากและด้อยโอกาส โดยนำระบบดูแลสุขภาพออกจากโรงพยาบาลไปสู่ประชาชน รูปแบบการให้บริการสุขภาพนี้สามารถขยายการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Read More »

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในแต่ละภาคของไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่ากัน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) เป็นการเคลื่อนย้ายทุนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยเจ้าของทุนยังมีอำนาจในการดูแลกิจการที่มีการนำทรัพยากรการผลิต แรงงาน และเทคโนโลยีเข้าไปยังประเทศที่ลงทุน นับว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ที่ผ่านมา มีงานศึกษาวิจัยจำนวนหนึ่งที่พยายามศึกษาและสำรวจถึงผลกระทบของ ‘การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ’ ต่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในประเทศที่เป็นถิ่นฐานการผลิตหรือการบริการ โดยมีโจทย์สำคัญซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาอย่างต่อเนื่อง คือ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศส่งผลให้ช่องว่างทางรายได้ของคนในประเทศเพิ่มขึ้นหรือลดลง” โดยงานศึกษาวิจัยส่วนหนึ่งเสนอว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศช่วยให้เกิดการกระจายรายได้และการถ่ายโอนเทคโนโลยีในประเทศถิ่นฐานการผลิตหรือบริการ ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง เสนอว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทำให้การกระจายรายได้ลดน้อยลง เนื่องจากบรรษัทข้ามชาติโดยส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยแรงงานมีฝีมือ ขณะเดียวกันการจ่ายค่าจ้างให้แรงงานมีฝีมือก็สูงกว่าแรงงานไร้ฝีมือ จึงมีส่วนทำให้ช่องว่างความไม่เท่าเทียมของรายได้ขยายกว้างขึ้น  สำหรับประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่เปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงน่าสนใจว่าความเหลื่อมล้ำดังกล่าวมีความสัมพันธ์หรือเป็นผลกระทบจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือไม่ อย่างไร  อย่างไรก็ดี งานศึกษาวิจัยต่อประเด็นข้างต้นที่ขีดกรอบศึกษาเฉพาะประเทศไทยนั้นนับว่ายังมีน้อย เพื่อเติมเต็มการศึกษา สำรวจ และวิเคราะห์ผลกระทบของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในสังคมไทย ดร.มณฑินี ธีระมังคลานนท์ วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Eric M.P. Chiu National Chung Hsing University  จึงได้ดำเนินงานวิจัย “The Effects of Foreign Direct Investment on Income Inequality of Thailand” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสำหรับประเทศไทย

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในแต่ละภาคของไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่ากัน Read More »

เรียนรู้บทเรียนจากเคนยาและไทยในวิกฤตโควิด-19  เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับชุมชนมีบทบาทอย่างไร พร้อมค้นหาแนวทางการรับมือและอุปสรรค

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 เป็นวิกฤตระดับโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ในช่วงที่เริ่มมีการแพร่ระบาดนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานหลากหลายฟากฝ่าย ได้พยายามออกมาตรการและนโยบายในการจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิ ไต้หวัน ภาครัฐและเอกชน ได้มีการทำงานร่วมกันในการรับมือกับโควิด-19 ขณะที่ เกาหลีใต้ ได้สร้างแอปพลิเคชันขึ้นเพื่อติดตามผู้ติดเชื้อ แต่อีกด้านหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนาในหลายประเทศ กลับยังขาดความชัดเจนในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว อันเนื่องมาจากยังพบปัญหาของระบบการรักษาพยาบาลที่ไม่เท่าเทียม และขาดโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่สำคัญ เพื่อตอบคำถามว่าประเทศอื่น ๆ มีการจัดการกับการแพร่ระบาดอย่างไร นำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Community Health Workers as Street-level Quasi-Bureaucrats in the COVID-19 Pandemic: The Cases of Kenya and Thailand” โดย รศ. ดร.ธัชเฉลิม สุทธิพงษ์ประชา วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ. ดร.อรอร ภู่เจริญ สถาบันพัฒนานโยบาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้เลือกสาธารณรัฐเคนยาและประเทศไทยขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา สถานการณ์โควิด-19 ของสาธารณรัฐเคนยาและประเทศไทย ในปี 2563 ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน

เรียนรู้บทเรียนจากเคนยาและไทยในวิกฤตโควิด-19  เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับชุมชนมีบทบาทอย่างไร พร้อมค้นหาแนวทางการรับมือและอุปสรรค Read More »

ชาวบ้านในชุมชนมีความเห็นอย่างไรต่อนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชวนสำรวจจากงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช’ เเละคณะ

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดย ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช ผศ.รณรงค์ จันใด และ ดร.กาญจนา รอดแก้ว คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันหลายประเทศได้มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานราก เพื่อให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจน โดยอาจใช้รูปแบบวิสาหกิจชุมชน (community enterprise) วิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise) ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลกำไร หรือผลประกอบการเพื่อสังคม โดยใช้รูปแบบการทำงานของธุรกิจ เพื่อเชื่อมภาคธุรกิจและภาคสังคมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากยังถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์การสหประชาชาติที่กำหนดเป้าหมายสำคัญประการหนึ่ง คือ การมุ่งขจัดความยากจนทุกรูปแบบ ขณะที่ประเทศไทย มีการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ในหลายพื้นที่ซึ่งอาจดำเนินการในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน กลุ่มในชุมชน หรือรูปแบบอื่น ๆ อีกทั้งที่ผ่านมายังได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในหลายด้าน ทั้งด้านการการส่งเสริมอุตสาหกรรมในชุมชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และการส่งเสริมเกษตรแปรรูปโดยชุมชน ด้านภาครัฐก็พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายและยุทธศาสตร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 4 ของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

ชาวบ้านในชุมชนมีความเห็นอย่างไรต่อนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชวนสำรวจจากงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช’ เเละคณะ Read More »

เมื่อปัจจุบัน ‘ผู้สูงอายุ’ เสี่ยงถูกละเมิดสิทธิเพิ่มขึ้น จะมีมาตรการกลไกป้องกันอย่างไร ? ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.เดชา สังขวรรณ’

ชวนอ่านงานวิจัย “มาตรการกลไกป้องกันการละเมิดสิทธิผู้สูงอายุ” โดย รศ. ดร.เดชา สังขวรรณ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปัจจุบัน สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคม ‘ผู้สูงอายุ’ จึงต้องเตรียมการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิของผู้สูงอายุ เพราะเมื่อบุคคลเข้าสู่วัยสูงอายุ มักจะพบกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเสื่อมถอยลงของร่างกายและจิตใจ ก่อให้เกิดภาวะการเจ็บป่วย เกิดปัญหาโรคเรื้อรังและนำไปสู่ภาวะการพึ่งพิงซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดขึ้น ในช่วงอายุ 75-80 ปี ทำให้ผู้สูงวัยต้องปรับเปลี่ยนสถานภาพและบทบาททางสังคมจากผู้ที่เคยเป็น ‘ผู้ดูแล’ คนอื่นมาเป็น ‘ผู้พึ่งพา’ ซึ่งอาจให้นำมาสู่การถูกเอารัดเอาเปรียบได้โดยง่าย จึงได้มีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ  (qualitative research) จึงได้ทำการศึกษาสถานการณ์ปัญหาการละเมิดสิทธิต่อผู้สูงอายุ รวมถึงมาตรการกลไกในการป้องกัน เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการวางแผนต่อไป จากงานวิจัยข้างต้น เพื่อศึกษามาตรการกลไกป้องกันการละเมิดสิทธิผู้สูงอายุ ได้อย่างรอบด้านและเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของประเทศไทย รศ. ดร.เดชา ได้กำหนดวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้ จากข้อมูลงานวิจัยดังกล่าว เพื่อให้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการกลไกป้องกันการละเมิดสิทธิผู้สูงอายุ จึงกำหนดวิธีการวิจัย โดยการประชุมสนทนากลุ่ม (focus group)

เมื่อปัจจุบัน ‘ผู้สูงอายุ’ เสี่ยงถูกละเมิดสิทธิเพิ่มขึ้น จะมีมาตรการกลไกป้องกันอย่างไร ? ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.เดชา สังขวรรณ’ Read More »

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’

ชวนอ่านงานวิจัย “การพัฒนาชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียนเชิงบูรณาการด้วยนวัตกรรมการเชื่อมต่อระบบขนส่งทางน้ำ” โดย รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันประเทศไทยมีชุมชนแออัดมากกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจน สะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และการกระจุกตัวของสิ่งก่อสร้าง ประกอบกับความหนาแน่นของประชากรและข้อจำกัดด้านที่ดิน ส่งผลให้เมืองกลืนกินกลุ่มชุมชนเปราะบางมากขึ้น โดยในหลายพื้นที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการพัฒนาที่สร้างมูลค่าที่ดินได้มากกว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชุมชนรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย โดยมีความพยายามในการพัฒนาและปรับปรุงด้วยหลากหลายวิธีตามสภาพปัญหา แต่กลไกที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนควรพิจารณาถึงการสร้างการพึ่งพาตนเองที่สามารถสร้างโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความเป็นตัวตนของชุมชนเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง สามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสที่พึงจะได้ สู่การเป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยปัญหาข้างต้นจึงเป็นที่มาของโครงการวิจัยนี้ โดย รศ.ดร.ภาวิณี ได้ศึกษาพื้นที่ชุมชนริมคลองลาดพร้าวเป็นชุมชนต้นแบบ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณคลองลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นคลองที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเพื่อระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ จึงควรสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อของการเดินทางด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงด้วยการใช้ประโยชน์และการพัฒนาทรัพยากรที่นำไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน เพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ที่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนได้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน

พื้นที่ต้นแบบ ‘ชุมชนริมคลองลาดพร้าว’ มีแนวทางพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำและการท่องเที่ยวอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ดร.ภาวิณี เอี่ยมตระกูล’ Read More »

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “บริการทางวิชาการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ และนวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองจากโรคได้เทียบเท่าคนทั่วไป เช่น คนพิการทางสายตาที่ต้องสัมผัสพื้นผิวมากกว่าปกติ คนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยหรือล้างมือด้วยตนเอง คนพิการทางจิต/สติปัญญา/ออทิสติก ที่ไม่สามารถเข้าใจมาตรการในการป้องกันโรคได้เท่าคนทั่วไป และหากคนพิการเจ็บป่วยก็อาจจะต้องใช้ทรัพยากรในการดูแลมากกว่า รวมถึงอาจมีอาการป่วยหนักกว่าคนทั่วไปเนื่องจากมีโรคร่วมทางกายมากกว่า งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้สำหรับการดูแลคนพิการในแต่ละประเภทความพิการ และสังเคราะห์รูปแบบและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม เเละอุตสาหกรรม และเป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ  ซึ่งงานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกประเด็นกับกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง และการถอดบทเรียนและองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมการดูแลคนพิการ กับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’ Read More »

Scroll to Top