Localizing

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะหนุนเสริมระบบสุขภาพไทยให้กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นได้อย่างไร – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย หัวข้อ “ก้าวต่อไปของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ” โดย รศ. ดร.ธัชเฉลิม สุทธิพงษ์ประชา วิทยาลัยสหวิทยาการ และหัวข้อ “โครงการประเมินผลลัพธ์และยกระดับการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น “กองทุน” ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)” โดย ผศ.วีรบูรณ์ วิสารทสกุล วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงประสานและกระจายอำนาจแก่สาธารณสุขในท้องถิ่น งานสัมมนาทั้ง 2 หัวข้อข้างต้นจึงมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพเเละความเป็นอยู่ที่ดี เเละเป้าหมายที่ 16 สังคมสงบสุข ยุติธรรม เเละสถาบันเข้มเเข็ง 01 – บทสรุปการสัมมนาหัวข้อ “ก้าวต่อไปของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ” การสัมมนาหัวข้อ “ก้าวต่อไปของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ” มีประเด็นสำคัญที่ได้จากการนำเสนอของ รศ. ดร.ธัชเฉลิม ดังนี้ ขณะที่ประเด็นสำคัญจากการสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ร่วมสัมมนากับนักวิจัยแนวหน้า รศ. […]

TU SDG Seminars | งานวิจัยจะหนุนเสริมระบบสุขภาพไทยให้กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นได้อย่างไร – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของคนทุกช่วงวัย Read More »

สำรวจแนวทางผลักดัน ‘เกาะสมุย’ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ผ่านงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ และคณะ’

ชวนอ่านงานวิจัย “การสำรวจภารกิจและงบประมาณของส่วนราชการในพื้นที่เกาะสมุย: การศึกษาเพื่อเตรียมข้อมูลสนับสนุนสำหรับการพัฒนาพื้นที่เกาะสมุย เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” โดย รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สุทธิเกียรติ อังกาบูรณะ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้าและสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) เกาะสมุย เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย รองจากเกาะภูเก็ตและเกาะช้าง อีกทั้งยังเป็นเกาะที่มีการขยายตัวและเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละปีมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 12,000 – 18,000 ล้านบาทต่อปี นับเป็นรายได้ที่สูงเป็นลำดับที่ 6 ของรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวของไทย ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของชาวเกาะสมุยก็สูงกว่า 50,000 บาท ต่อเดือน  อย่างไรก็ดี การเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวข้างต้นกลับก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม หลายประการ อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาสวัสดิการและคุณภาพชีวิต ปัญหาด้านสาธารณูปโภค ปัญหาด้านโครงสร้างหน้าที่ รวมถึงการบริหารงบประมาณของเทศบาลนครเกาะสมุยกับหน่วยงานราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ยังขาดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ  สภาพปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้มีการทบทวนบทบาทของเทศบาลนครเกาะสมุย ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนภายในพื้นที่เกาะสมุยจะต้องเข้ามาเป็นผู้มีบทบาทหลักและมีอำนาจสูงสุดในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่เกาะสมุยเพื่อตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และความต้องการที่หลากหลายของประชาชนชาวเกาะสมุย โดยที่หน่วยงานราชการบริหารส่วนกลางและหน่วยงานราชการบริการส่วนภูมิภาคควรทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนในการดำเนินภารกิจด้านการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง ๆ ในพื้นที่เกาะสมุย มากกว่าเป็นหน่วยงานหลักที่จะเข้าไปดำเนินภารกิจด้านการพัฒนาและส่งมอบบริการสาธารณะต่าง

สำรวจแนวทางผลักดัน ‘เกาะสมุย’ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ผ่านงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ และคณะ’ Read More »

พัฒนาแช็ตบอตเพื่อช่วยบริหารงานท้องถิ่นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์สภาพความเป็นจริง ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์’ และคณะ

ชวนอ่าน “โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาเนื้อหาสำหรับปัญญาประดิษฐ์ด้านการบริหารงานท้องถิ่น ประจำปี 2565” โดย รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์  ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะผู้วิจัย ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) บทบาทสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือการจัดทำบริการสาธารณะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนในพื้นที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าใจการบริหารงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี พบว่าปัญหาประการหนึ่งคือบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลับไม่รู้หรือไม่เข้าใจกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารของตน ส่งผลให้การบริการสาธารณะชะงักและไม่สามารถตอบโจทย์คนในพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สถาบันพระปกเกล้าจึงพยายามสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทว่ายังคงไม่สามารถเผยแพร่ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่มีมากกว่า 7,800 แห่งได้อย่างทั่วถึง และในปีงบประมาณ 2564 วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า ก็ยังได้ดำเนินการจัดทำโครงการศึกษาวิจัยโดยมีเป้าหมายเพื่อนำเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และระบบถาม-ตอบ หรือ แช็ตบอต (chatbot) มาใช้ในการค้นหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้การค้นหาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลปกครองอันเป็นตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มาพัฒนาเป็นฐานข้อมูล “คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และได้มีการพัฒนาและทดสอบโปรแกรมเพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและตรงความต้องการ (proof of concept)  เพื่อขยายผลการศึกษาและพัฒนาการนำปัญญาประดิษฐ์และระบบถาม-ตอบมาใช้สำหรับแนะนำแนวปฏิบัติของการจัดซื้อจัดจ้างให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น รศ. ดร.นพพร และคณะ จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ  1) เพื่อพัฒนาฐานข้อมูล

พัฒนาแช็ตบอตเพื่อช่วยบริหารงานท้องถิ่นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์สภาพความเป็นจริง ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์’ และคณะ Read More »

สถานการณ์การหกล้มของผู้สูงอายุในอาเซียนเเละมาตรการป้องกันเป็นอย่างไร ชวนสำรวจผ่านการทบทวนงานวิจัยที่หลากหลาย

การหกล้มในหมู่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นับวันยิ่งมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง East-West Center คาดการณ์ว่าในปี 2593 สัดส่วนผู้สูงอายุจะมากกว่าภูมิภาคเอเชียใต้ อเมริกาเหนือ และยุโรป อย่างไรก็ดี พบว่างานวิจัยที่ศึกษาและเผยแพร่เกี่ยวกับการหกล้มของผู้สูงอายุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีข้อจำกัดและเข้าถึงได้ยาก ส่งผลให้การค้นคว้าและนำไปต่อยอดสู่การสร้างสรรค์แนวทางและมาตรการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในภูมิภาคจึงเป็นความท้าทายที่ต้องการการจัดการและศึกษาวิจัยมาตอบโจทย์  เพื่อสำรวจ รวบรวม ทบทวนและวิเคราะห์งานวิจัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งศึกษาประเด็นดังกล่าว รศ. ดร.ไพลวรรณ สัทธานนท์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะผู้วิจัย จึงได้ดำเนินงานวิจัย “Falls amongst older people in Southeast Asia: a scoping review” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและระบุถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการหกล้มของผู้สูงอายุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่อกรณีหกล้มในผู้สูงอายุพร้อมทั้งถกสนทนาถึงทิศทางในอนาคตเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ ด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าวิจัยและสร้างสรรค์แนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ทำให้งานวิจัยดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 1 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี  การดำเนินการวิจัยของ รศ. ดร.ไพลวรรณ และคณะ ใช้วิธีการศึกษาแบบการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีขอบเขต (scoping review) โดยมีรายละเอียดสำคัญ ได้แก่ งานวิจัยดังกล่าวมีข้อค้นพบโดยสรุปที่น่าสนใจ ได้แก่ นอกจากนี้  รศ.

สถานการณ์การหกล้มของผู้สูงอายุในอาเซียนเเละมาตรการป้องกันเป็นอย่างไร ชวนสำรวจผ่านการทบทวนงานวิจัยที่หลากหลาย Read More »

ชาวบ้านในชุมชนมีความเห็นอย่างไรต่อนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชวนสำรวจจากงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช’ เเละคณะ

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดย ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช ผศ.รณรงค์ จันใด และ ดร.กาญจนา รอดแก้ว คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) ปัจจุบันหลายประเทศได้มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานราก เพื่อให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจน โดยอาจใช้รูปแบบวิสาหกิจชุมชน (community enterprise) วิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise) ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลกำไร หรือผลประกอบการเพื่อสังคม โดยใช้รูปแบบการทำงานของธุรกิจ เพื่อเชื่อมภาคธุรกิจและภาคสังคมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากยังถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์การสหประชาชาติที่กำหนดเป้าหมายสำคัญประการหนึ่ง คือ การมุ่งขจัดความยากจนทุกรูปแบบ ขณะที่ประเทศไทย มีการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ในหลายพื้นที่ซึ่งอาจดำเนินการในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน กลุ่มในชุมชน หรือรูปแบบอื่น ๆ อีกทั้งที่ผ่านมายังได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในหลายด้าน ทั้งด้านการการส่งเสริมอุตสาหกรรมในชุมชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และการส่งเสริมเกษตรแปรรูปโดยชุมชน ด้านภาครัฐก็พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายและยุทธศาสตร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 4 ของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

ชาวบ้านในชุมชนมีความเห็นอย่างไรต่อนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ชวนสำรวจจากงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.ภุชงค์ เสนานุช’ เเละคณะ Read More »

ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไร ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ดร. วาสินี วรรณศิริ’

ชวนอ่านงานวิจัย “โครงการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ประโยชน์ที่ดินเชิงพื้นที่ระดับจังหวัด” โดย ดร. วาสินี วรรณศิริ สาขาภูมิศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อาทิ การทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ การทำอุตสาหกรรม หรือการสร้างที่อยู่อาศัย กำลังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบางกิจกรรมส่งผลให้เกิดการก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ อันเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ที่ผ่านมาองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้พยายามพัฒนาและส่งเสริมการจัดทำและรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การจัดทำแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 โดยใช้ข้อมูลกิจกรรมจากรายงานสถิติข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินระดับจังหวัดรายปี อย่างไรก็ดียังไม่ครอบคลุมทุกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินตามการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินในคู่มือ GPC (Global Protocol for Community-Scale Greenhouse Gas Emission Inventories) และ IPCC (IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories) และไม่สามารถแสดงถึงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินระหว่างสองช่วงเวลา รวมถึงสถิติข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด เพื่อช่วยให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกสามารถนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามและวิเคราะห์การใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างครอบคลุมและทันเวลา

ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไร ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ดร. วาสินี วรรณศิริ’ Read More »

ภาคพลังงานไทยจะร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่ อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาท้าทายของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญ คือ กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาทิ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำฟาร์ม และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกในการออกแบบนโยบาย มาตรการ ข้อผูกพัน และความร่วมมือเพื่อควบคุมและแก้ปัญหาไม่ให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้น โดยหนึ่งในความพยายามที่สำคัญและเป็นโจทย์ความร่วมมือระหว่างประเทศนั่นคือ ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีเป้าหมายท้าทายหลายประการ อาทิ รักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนืออุณหภูมิในช่วงก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้อุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส การจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ให้อยู่ในระดับเดียวกับที่ต้นไม้ ดิน และมหาสมุทรสามารถดูดซับได้ โดยจะเริ่มในช่วงเวลาระหว่างปี 2593 และ 2643 และการทบทวนการมีส่วนร่วมของแต่ละประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุก ๆ 5 ปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดความพยายามยิ่งขึ้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า “การเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งก้าวหนึ่งของไทย ประเทศไทยเข้าร่วมเพราะตระหนักในความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนที่จะรักษาโลกนี้ไว้ให้กับลูกหลาน…เจตนารมณ์อันแน่วแน่ของประเทศไทยในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และมีความต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศ” การขับเคลื่อนสังคมไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อร่วมจำกัดอุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส จึงเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น

ภาคพลังงานไทยจะร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่ อะไรคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ Read More »

ชวนสำรวจแหล่งกำเนิดและแนวทางลดฝุ่นละอองในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี จากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ธงชัย ขนาบแก้ว’

ชวนอ่านงานวิจัย “โครงการศึกษาเพื่อหาแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ ตำบลหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี และพื้นที่โดยรอบเขตควบคุมมลพิษในรัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตร” โดย ผศ.ดร.ธงชัย ขนาบแก้ว คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้แก่ PM10 และ PM2.5 เป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ซึ่งส่งผลกระทบตรงต่อสุขภาพของประชาชนและเป็นปัญหาที่สะสมต่อเนื่องมายาวนาน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมมลพิษ ได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศถาวรในพื้นที่ตำบลหน้าพระลาน (24t) อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เพื่อเฝ้าระวังและติดตามปริมาณความเข้มข้นของฝุ่นละออง รวมถึงมลพิษทางอากาศชนิดอื่น ๆ พร้อมทั้งจัดทำมาตรการร่วมกับหน่วยงานและสถานประกอบการในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงพบว่าสถานการณ์จำนวนวันที่ฝุ่นละออง โดยเฉพาะ PM10 มีค่าสูงเกินค่ามาตรฐานยังคงเกิดขึ้นติดต่อกัน โดยเฉพาะช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายน ของทุกปี จากข้อมูลการศึกษาของพื้นที่ที่ผ่านมาพบว่า แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองจากภาคอุตสาหกรรมและการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองจากกิจกรรมของของสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่และเหมืองหิน รวมถึงการคมนาคมขนส่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับความเข้มข้นที่ตรวจวัดได้มีค่าสูง การจัดการและควบคุมการปล่อยมลพิษ PM10 และ PM2.5 จากแหล่งกำเนิดเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องพิจารณาดำเนินการเพื่อลดระดับความเข้มข้นของฝุ่นละอองลงมา และพัฒนาแนวทางและมาตรการเพื่อควบคุมและลดการปล่อย PM10

ชวนสำรวจแหล่งกำเนิดและแนวทางลดฝุ่นละอองในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี จากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ธงชัย ขนาบแก้ว’ Read More »

Funding Opportunities I แนะนำทุนวิจัยที่น่าสนใจด้านการขับเคลื่อนการนำ SDGs ไปปฏิบัติในพื้นที่และการขับเคลื่อนนโยบาย SDG ในระดับชาติและภูมิภาค

สำหรับสัปดาห์นี้ขอแนะนำโครงการและโอกาสของการสนับสนุนด้านเงินทุนและองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับการวิจัยระดับแนวหน้าด้านการขับเคลื่อนการนำ SDGs ไปปฏิบัติในพื้นที่ (SDG Localization Research) และการขับเคลื่อนนโยบาย SDG ในระดับชาติและภูมิภาค (Regional and National Policy Research) ดังนี้ แหล่งทุน : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) รายละเอียด : บพท. ให้การสนับสนุนทุนวิจัย ประจำปีงบประมาณ 2566 ให้แก่นักวิจัยที่ทำการวิจัยตามโจทย์วิจัย และเป้าหมายการวิจัยประเด้นย่อย ดังต่อไปนี้ 1. การสร้างกลไกและนักจัดการระดับพื้นที่ 2. การพัฒนาเศรษฐกิจร่วมชายแดน โดยการพัฒนาหรือยกระดับห่วงโซ่อุปทานที่เป็นรูปธรรม 3. การยกระดับกลไกความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนและท้องถิ่น งบประมาณ : 1-3 ล้านบาท วันสิ้นสุดการเปิดรับสมัคร : 5 มกราคม 2023 ช่องทางการเข้าถึงเพิ่มเติม : https://nriis.go.th/NewsEventDetail.aspx?nid=11634 แหล่งทุน : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) รายละเอียดทุน : บพท. ให้การสนับสนุนทุนวิจัย

Funding Opportunities I แนะนำทุนวิจัยที่น่าสนใจด้านการขับเคลื่อนการนำ SDGs ไปปฏิบัติในพื้นที่และการขับเคลื่อนนโยบาย SDG ในระดับชาติและภูมิภาค Read More »

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’

ชวนอ่านงานวิจัย “การขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา” โดย ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยข้อมูลจากสถาบันพระปกเกล้าระบุว่าเฉพาะปีการศึกษา 2559 มีเด็กและเยาวชนวัยเรียน อายุระหว่าง 3 – 17 ปี ซึ่งอยู่ในระบบการศึกษาแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์และการเข้าถึงโอกาสมากถึง 3 ล้านคน นับว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา มากไปกว่านั้นหากพิจารณาปัจจัยเชิงพื้นที่จะพบว่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลยังต้องเผชิญกับการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงเป็นโจทย์สำคัญของภาครัฐ และหนึ่งในการขยับขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นคือ “นโยบายสำคัญสำหรับการพัฒนา ประเทศในช่วงระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)” ภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและเสมอภาค โดยเฉพาะบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถเป็นผู้นำหลักในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่  หนึ่งในมิติความเหลื่อมล้ำที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเหมาะสมที่จะเป็นกลไกสำคัญ นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา เนื่องจากเป็นองค์ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่น มีอำนาจและความรับผิดชอบในการจัดบริการสาธารณะซึ่งครอบคลุมถึงการจัดการศึกษา อีกทั้งยังเป็นองค์กรทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับปัญหาและความต้องการของชุมชนท้องถิ่นมากที่สุด เพื่อให้ศึกษาและค้นคว้าแนวทางขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญของการดำเนินภารกิจสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ผศ.ดร.ทรงชัย จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุป 3 ประการ คือ  จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’ Read More »

Scroll to Top