Research Brief

อิทธิพลใดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้ ‘Metro-Bus’ ค้นหาคำตอบผ่านการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีรายได้ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ปัจจุบัน ประชากรในเขตเมืองนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพายานพาหนะในการเดินทางและสัญจรมากขึ้น และเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ทำให้ประชากรบางส่วนเลือกพึ่งพาการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ กลายเป็นการสร้างความแออัดทางการจราจรในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงจำเป็นต้องกลับมาพิจารณาว่าผู้คนมีพฤติกรรมและทัศนคติในการเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะภายในเมืองเช่นไร ด้วยประเด็นข้างต้นนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Influence of Social Constraints, Mobility Incentives, and Restrictions on Commuters’ Behavioral Intentions and Moral Obligation towards the Metro-Bus Service in Lahore” โดย Muhammad Ashraf Javid Department of Civil Engineering, NFC Institute of Engineering and Fertiliser Research , Nazam Ali University of Management and Technology, Tiziana Campisi […]

อิทธิพลใดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้ ‘Metro-Bus’ ค้นหาคำตอบผ่านการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีรายได้ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน Read More »

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

‘เกมและการเล่น’ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยในอดีตเกมต่าง ๆ จะเล่นเพื่อเน้นเสริมสร้างความสนุกเป็นหลัก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการริเริ่มคิดเล่น ‘เกมซีเรียส’ (serious game) หรือ “เกมที่มีกระบวนการจำลองโลกเสมือนจริง (simulation) ซึ่งออกแบบมาเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทว่าก็ยังคงความเป็นเกมที่ให้ความบันเทิงไปด้วย” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายหลายด้านต่าง ๆ ทั้งเป็นสื่อการเรียนการสอน การออกแบบและวางผังเมือง และเครื่องมือเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ‘Kin Dee You Dee’ เป็นหนึ่งในเกมซีเรียส ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ของชุมชนเกี่ยวกับการตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยชุดเกมนี้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่ชื่อว่า “Planning for Eco-Cities and Climate-Resilient Environments: Building Capacity for Inclusive Planning in the Bangkok Metropolitan Region (PEACE-BMR)” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่มุ่งสำรวจแนวทางและกลไกการปรับตัวของครัวเรือนและชุมชนต่อวิกฤติจากสภาพภูมิอากาศ ต่อมาได้มีการทดสอบการใช้ชุดเกมเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นในปี 2561 ก่อนที่การออกแบบและพัฒนาชุดเกมจะเสร็จสิ้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 เพื่อศึกษาและทดลองใช้เกม ‘Kin Dee You Dee’ ให้สามารถปรับพัฒนาไปสู่การสร้างประสิทธิภาพและครอบคลุมความต้องการของชุมชนมากขึ้น

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ Read More »

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ประชากรกว่า 1.74 ล้านคนในภูมิภาคนี้ไม่สามารถเข้าถึงสุขาภิบาลที่ดีได้ โดยในจำนวนนี้ประมาณ 792 ล้านคนยังคงทนทุกข์กับการขับถ่ายในที่โล่งแจ้ง สถานการณ์สุขาภิบาล (sanitation situation) ที่ไม่ดีส่งผลกระทบที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้แหล่งน้ำเน่าเสีย และสูญเสียโอกาสในการนำสิ่งปฏิกูลกลับมาใช้ใหม่เพื่อผลิตพลังงานหรือปุ๋ย การสุขาภิบาลที่ไม่ดียังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยประเมินการสูญเสียรายได้จากผลผลิตที่ลดลงกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างอิงจากปี 2548) ในประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งคิดเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product: GDP) แม้ว่ารัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะริเริ่มดำเนินการหลายอย่างเพื่อปรับปรุงสถานการณ์สุขาภิบาล แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ การขาดตัวเลือกเทคโนโลยีและเทคโนโลยีที่มีอยู่มีประสิทธิภาพต่ำ ส่งผลต่อการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของภูมิภาค ระบบบำบัดน้ำเสียจากห้องสุขาที่ใช้กันทั่วไป คือ ระบบสุขาภิบาล ณ แหล่งกำเนิด (on-site sanitation system: OSS) เช่น บ่อเกรอะ (septic tank) บ่อซึม (cesspool) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วได้รับการออกแบบ สร้าง และบำรุงรักษาที่ไม่ดีพอ นำไปสู่การรั่วไหลของของเสียหรือการใช้งานที่มากเกินไป

ทบทวนสถานการณ์สุขาภิบาลของประเทศเมียนมา ไทย และเวียดนาม และนวัตกรรมการสุขาภิบาลเพื่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม Read More »

ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำ ‘ทุนที่มีค่า’ ในชุมชนมาใช้ตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2559 มีประชากรรวมราว 10.6 ล้านคน นับว่าเป็นเมืองหลวงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมีความเสี่ยงในการเผชิญกับวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการจัดการเมืองขาดการประสานเชื่อมโยงกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งการวางแผนผังเมือง การดำเนินการเชิงกฎระเบียบ และการใช้ที่ดิน เช่น การพัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรซ้อนทับบนพื้นที่โซนสีเขียว ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับระบายน้ำท่วม ส่งผลให้บ้านเหล่านั้นเสี่ยงภัยน้ำท่วมและขณะเดียวกันก็เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำของเมือง ซึ่งวิกฤติการณ์น้ำท่วมหนักเมื่อปี 2554 ก็เป็นผลกระทบสำคัญจากนโยบายการวางแผนป้องกันภัยพิบัติที่ขาดประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แม้จะอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันแต่ฐานะทางเศรษฐกิจก็ทำให้ประชากรเมืองมีความเปราะบางและได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่ต่างกันด้วย โดยครัวเรือนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง แม้จะเผชิญผลกระทบจากน้ำท่วมแต่ก็มีมาตรการในการรับมือ เช่น การย้ายที่อยู่ชั่วคราว การสร้างคันกั้นน้ำได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เพื่อสร้างคันกั้นน้ำได้ทันที อีกทั้งยังสูญเสียรายได้รายวันเนื่องจากสถานที่ทำงานถูกปิดและไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ เฉพาะภัยพิบัติน้ำท่วม ที่ผ่านมาภาครัฐแก้ปัญหาโดยเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน อุโมงค์ระบายน้ำบริเวณนอกรอบของเมือง มากกว่าการให้ความสำคัญกับการควบคุมการพัฒนา การบูรณะปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำ และเสริมสร้างความสามารถในการตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงแก่ประชากรเมืองเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อปี 2560 กรุงเทพฯ โดยความร่วมมือกับโครงการ 100 Resilient Cities ของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ได้พัฒนายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในกรุงเทพฯ ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือ การลดความเสี่ยงและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวผ่านการเสริมสร้างศักยภาพแก่ปัจเจกบุคคลและชุมชนในการรับรู้ ปรับตัว และฟื้นคืนกลับจากภัยพิบัติ เพื่อศึกษาความสามารถและเสนอแนวทางหนุนเสริมศักยภาพแก่ปัจเจกและชุมชนเมืองในการนำทุนที่มีค่า (asset) มาปรับใช้ในการตั้งรับปรับตัวจากภัยพิบัติ

ชุมชนเมืองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะนำ ‘ทุนที่มีค่า’ ในชุมชนมาใช้ตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร Read More »

เมื่อบางครั้ง ‘ผู้ดูแล’ ก็เหนื่อยล้า ทำความเข้าใจภาระหน้าที่การดูแลผู้ป่วยติดเตียง อะไรคือปัญหาและอุปสรรค

ภาระของผู้ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย (The informal family caregiver burden : IFCB) โดยเฉพาะในการดูแลผู้สูงอายุป่วยเรื้อรังติดเตียง (chronically ill bedridden elderly patients : CIBEPs) นับเป็นประเด็นสำคัญทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก เกิดเป็นความท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการการดูแลแบบประคับประคองของผู้สูงอายุนั้นมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้สูงอายุป่วยเรื้อรังติดเตียง ด้วยประเด็นข้างต้นนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Listening to Caregivers’ Voices: The Informal Family Caregiver Burden of Caring for Chronically Ill Bedridden Elderly Patients” โดย ผศ.จิณพิชญ์ชา มะมม คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Dr. Hanvedes Daovisan สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำมาสู่สำรวจภาระของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดเตียงในประเทศไทย  ประเทศไทย เป็นสังคมที่มีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก ทำให้การดูแลและรักษาผู้ป่วยสูงอายุในปัจจุบัน

เมื่อบางครั้ง ‘ผู้ดูแล’ ก็เหนื่อยล้า ทำความเข้าใจภาระหน้าที่การดูแลผู้ป่วยติดเตียง อะไรคือปัญหาและอุปสรรค Read More »

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

การบรรลุความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพถือเป็นเป้าหมายนโยบายที่สำคัญต่อสุขภาวะของประชากรโดยรวมในทุกประเทศ และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) การปรับปรุงความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุ SDGs แต่ทว่าการตรวจสอบและประเมินการเข้าถึงบริการสุขภาพนั้นค่อนข้างซับซ้อน หลายประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ในการศึกษาการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (geographic information system: GIS) ได้ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ความต้องการด้านการรักษาพยาบาล การเข้าถึง และการได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพ โดยเชื่อมโยงความหลากหลายของประชากรกับข้อมูลสิ่งแวดล้อม เพื่อวิเคราะห์และกำหนดลักษณะความต้องการในมิติต่าง ๆ จากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อุปสรรคทางภูมิศาสตร์ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำให้การได้รับประโยชน์จากบริการสุขภาพลดลง ลดการเข้าถึงบริการเชิงป้องกัน และลดอัตราการรอดชีวิต ซึ่งอาจส่งผลให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล รวมถึงไม่ได้รับประโยชน์จากการรักษาเฉพาะทาง เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็ง และศูนย์แม่และเด็ก ซึ่งมักพบในเมืองใหญ่มากกว่า จึงไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและชุมชนห่างไกล แม้ว่าประชาชนทุกคนควรได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติยังมีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัด เช่น สถานพยาบาล หรือบุคลากรในวิชาชีพด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ ดังนั้น คลินิกสุขภาพเคลื่อนที่ (mobile health clinic) จึงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ได้รับการยอมรับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ สนับสนุนและบรรเทาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในพื้นที่ยากลำบากและด้อยโอกาส โดยนำระบบดูแลสุขภาพออกจากโรงพยาบาลไปสู่ประชาชน รูปแบบการให้บริการสุขภาพนี้สามารถขยายการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การประเมินเชิงพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานีผ่านการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ Read More »

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในแต่ละภาคของไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่ากัน

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) เป็นการเคลื่อนย้ายทุนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยเจ้าของทุนยังมีอำนาจในการดูแลกิจการที่มีการนำทรัพยากรการผลิต แรงงาน และเทคโนโลยีเข้าไปยังประเทศที่ลงทุน นับว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ที่ผ่านมา มีงานศึกษาวิจัยจำนวนหนึ่งที่พยายามศึกษาและสำรวจถึงผลกระทบของ ‘การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ’ ต่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในประเทศที่เป็นถิ่นฐานการผลิตหรือการบริการ โดยมีโจทย์สำคัญซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาอย่างต่อเนื่อง คือ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศส่งผลให้ช่องว่างทางรายได้ของคนในประเทศเพิ่มขึ้นหรือลดลง” โดยงานศึกษาวิจัยส่วนหนึ่งเสนอว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศช่วยให้เกิดการกระจายรายได้และการถ่ายโอนเทคโนโลยีในประเทศถิ่นฐานการผลิตหรือบริการ ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง เสนอว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทำให้การกระจายรายได้ลดน้อยลง เนื่องจากบรรษัทข้ามชาติโดยส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยแรงงานมีฝีมือ ขณะเดียวกันการจ่ายค่าจ้างให้แรงงานมีฝีมือก็สูงกว่าแรงงานไร้ฝีมือ จึงมีส่วนทำให้ช่องว่างความไม่เท่าเทียมของรายได้ขยายกว้างขึ้น  สำหรับประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่เปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงน่าสนใจว่าความเหลื่อมล้ำดังกล่าวมีความสัมพันธ์หรือเป็นผลกระทบจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือไม่ อย่างไร  อย่างไรก็ดี งานศึกษาวิจัยต่อประเด็นข้างต้นที่ขีดกรอบศึกษาเฉพาะประเทศไทยนั้นนับว่ายังมีน้อย เพื่อเติมเต็มการศึกษา สำรวจ และวิเคราะห์ผลกระทบของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในสังคมไทย ดร.มณฑินี ธีระมังคลานนท์ วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Eric M.P. Chiu National Chung Hsing University  จึงได้ดำเนินงานวิจัย “The Effects of Foreign Direct Investment on Income Inequality of Thailand” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสำหรับประเทศไทย

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในแต่ละภาคของไทยเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่ากัน Read More »

การจำลองโครงข่ายการจัดการขยะอย่างยั่งยืน สำหรับระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ผ่านการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์

ระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน (municipal solid waste management: MSWM) ที่ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลและไม่มีประสิทธิภาพเป็นปัญหาท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยทั่วไปในเขตเมือง สถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกหลักสุขาภิบาลมักก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดและความสามารถในการกำจัดของเสียเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองมีความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารปนเปื้อนที่ปล่อยออกมาจากการกำจัดขยะมูลฝอยนั้นมากขึ้น ความเสี่ยงจากการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองประสบ มีสาเหตุมาจาก ในประเทศกำลังพัฒนา การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินลดลงและสร้างภาระทางการเงินแก่ประชากรในท้องถิ่นในแง่ของค่าใช้จ่ายด้านสุขอนามัยที่สูงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องเพิ่มความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม (environmental justice) เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์เพื่อทำให้บรรลุผลสำเร็จ โดยอ้างถึงแนวคิดที่ว่าผู้อยู่อาศัยในชุมชนทั้งหมดต้องได้รับการปกป้องจากความเครียดอันเนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่มากเกินไปหรือไม่ได้สัดส่วน และจำเป็นต้องประเมินความสามารถของแต่ละชุมชนในการทนต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้มักต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านสุขอนามัย ความต้องการทางการเงินอาจทำให้ชุมชนมีงบประมาณไม่เพียงพอ และไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอยในชุมชนได้อย่างเหมาะสม ทำให้สุขภาพของประชาชนในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมถดถอยลง ดังนั้น การจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ยั่งยืนจึงต้องรวมประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมอยู่ในแผนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การจัดตั้งระบบจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่ยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนการออกแบบโครงข่ายและการวางแผนการขนส่ง การเลือกพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ความเหมาะสมของที่ดินอย่างรอบคอบ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถานจัดการกับชุมชนท้องถิ่น รวมถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ อุทกวิทยา และเศรษฐกิจสังคมจำเป็นต้องนำมาพิจารณาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการศึกษา “Multiobjective Optimization Model for Sustainable Waste Management Network Design” โดย ผศ. ดร.สัณห์ โอฬาพิริยกุล ดร.วรุธ ปานนักฆ้อง วฤทธิ์ คชาปัญญา และ

การจำลองโครงข่ายการจัดการขยะอย่างยั่งยืน สำหรับระบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ผ่านการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ Read More »

สำรวจแนวทางการจัดการ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” จากประเทศไทย ลาว และจีน เพื่อค้นหาวิธีการกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ (electronic waste หรือ e-waste) มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในด้านการจัดการขยะนั้น หลายคนยังคงจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ด้วยวิธีการเดียวกับขยะทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะเฉพาะตัวหลายประการโดยเฉพาะวิธีการกำจัดที่ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันกับขยะประเภทอื่น ส่งผลให้ในปัจจุบันหลายประเทศยังคงมีวิธีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไม่ถูกวิธีมากนัก เพื่อค้นหาวิธีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จึงนำมาสู่การค้นคว้าของงานวิจัยเรื่อง “Development of an analytical method for quantitative comparison of the e-waste management systems in Thailand, Laos, and China” โดย Assistant Professor Dr.Li Liang คณะสาธารณสุขศาสตร์ และ รศ. ดร.อลิส ชาร์ป สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้เลือกศึกษาระบบการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาใช้ในประเทศไทย ลาว และจีนมาเป็นกรณีเปรียบเทียบในการศึกษา  ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) หมายถึง ขยะในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (electrical

สำรวจแนวทางการจัดการ “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” จากประเทศไทย ลาว และจีน เพื่อค้นหาวิธีการกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ Read More »

สถานการณ์การหกล้มของผู้สูงอายุในอาเซียนเเละมาตรการป้องกันเป็นอย่างไร ชวนสำรวจผ่านการทบทวนงานวิจัยที่หลากหลาย

การหกล้มในหมู่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นับวันยิ่งมีความกังวลมากขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง East-West Center คาดการณ์ว่าในปี 2593 สัดส่วนผู้สูงอายุจะมากกว่าภูมิภาคเอเชียใต้ อเมริกาเหนือ และยุโรป อย่างไรก็ดี พบว่างานวิจัยที่ศึกษาและเผยแพร่เกี่ยวกับการหกล้มของผู้สูงอายุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีข้อจำกัดและเข้าถึงได้ยาก ส่งผลให้การค้นคว้าและนำไปต่อยอดสู่การสร้างสรรค์แนวทางและมาตรการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในภูมิภาคจึงเป็นความท้าทายที่ต้องการการจัดการและศึกษาวิจัยมาตอบโจทย์  เพื่อสำรวจ รวบรวม ทบทวนและวิเคราะห์งานวิจัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งศึกษาประเด็นดังกล่าว รศ. ดร.ไพลวรรณ สัทธานนท์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะผู้วิจัย จึงได้ดำเนินงานวิจัย “Falls amongst older people in Southeast Asia: a scoping review” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและระบุถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการหกล้มของผู้สูงอายุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่อกรณีหกล้มในผู้สูงอายุพร้อมทั้งถกสนทนาถึงทิศทางในอนาคตเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ ด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าวิจัยและสร้างสรรค์แนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ทำให้งานวิจัยดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 1 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี  การดำเนินการวิจัยของ รศ. ดร.ไพลวรรณ และคณะ ใช้วิธีการศึกษาแบบการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีขอบเขต (scoping review) โดยมีรายละเอียดสำคัญ ได้แก่ งานวิจัยดังกล่าวมีข้อค้นพบโดยสรุปที่น่าสนใจ ได้แก่ นอกจากนี้  รศ.

สถานการณ์การหกล้มของผู้สูงอายุในอาเซียนเเละมาตรการป้องกันเป็นอย่างไร ชวนสำรวจผ่านการทบทวนงานวิจัยที่หลากหลาย Read More »

Scroll to Top