SDG5

การบังคับใช้กฎหมาย ‘ความเท่าเทียมระหว่างเพศ’ ตามบริบทของประเทศไทยเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ. สาวตรี สุขศรี’

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาการบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย” โดย ผศ. สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้วันที่ 9 กันยายน 2558 กฎหมายฉบับนี้นับเป็นเครื่องมือทางกฎหมายชิ้นแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้แนวคิดเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่าง ทั้งเพศชาย เพศหญิง และบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ให้มีความเป็นรูปธรรมในสังคม มีเป้าหมายเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ โดยสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องนี้ได้รับการยอมรับทั้งในระดับสากลและรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวมานานกว่า 6 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการศึกษาสัดส่วนการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในตัวกฎหมาย ความคุ้มค่าของการใช้กลไกและมาตรการตามกฎหมาย เมื่อเปรียบเทียบกับภาระหน้าที่ที่ประชาชน รวมทั้งหน่วยงานผู้บังคับใช้ต้องแบกรับ ไปจนถึงผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ ด้วยปัญข้างต้น นำมาสู่การศึกษารายงานของ ผศ. สาวตรี ที่พยายามฉายให้เห็นถึงปัญหาทั้งในแง่ของตัวบทบัญญัติเองและการบังคับใช้ ซึ่งนอกจากจะอาศัยการวิเคราะห์ตามทฤษฎีและหลักการทางกฎหมายแล้ว นำความคิดเห็นที่ได้จากการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย ภาคประชาสังคม ผู้ขับเคลื่อนประเด็นความเท่าเทียมระหว่างเพศ นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงประชาชนผู้เคยถูกเลือกปฏิบัติและใช้กลไกตามกฎหมายนี้ร้องเข้ามาเพื่อขอรับความเป็นธรรม เพื่อมาพิจารณาประกอบค้นหาคำตอบของบทสรุปและข้อเสนอแนะ ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย และประสิทธิภาพการบังคับใช้  จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 […]

การบังคับใช้กฎหมาย ‘ความเท่าเทียมระหว่างเพศ’ ตามบริบทของประเทศไทยเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ. สาวตรี สุขศรี’ Read More »

LAW-U แชทบอทให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย แก่เหยื่อและผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศ ผ่านการประมวลผลภาษาธรรมชาติด้วยปัญญาประดิษฐ์

ความรุนแรงทางเพศ (sexual violence) หมายถึง การกระทำทางเพศหรือความพยายามใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการกระทำทางเพศต่อบุคคล ผ่านใช้ความรุนแรงหรือการบังคับขู่เข็ญ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำความผิดและเหยื่อจะเป็นแบบใดและในสถานการณ์แวดล้อมใดก็ตาม คำนิยามนี้ยังครอบคลุมถึงการใช้กำลังบังคับ การคุกคามทางเพศ (sexual harassment) และการล่วงละเมิดทางเพศ (sexual assault) ความรุนแรงทางเพศ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนและสังคมทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) รายงานว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลก ในช่วงชีวิตของพวกเธอเคยอยู่ภายใต้ความรุนแรงทางเพศจากคู่รักหรือจากคนที่ไม่ใช่คู่รัก จากการมาตรการปิดเมือง หรือ ล็อกดาวน์ (lockdown) ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้ความเสี่ยงเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากครอบครัวต้องรับมือกับความเครียดที่เพิ่มขึ้นและการอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ศูนย์วิกฤตและสายด่วนสำหรับเหยื่อและผู้รอดชีวิต รวมถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายถูกลดขนาดลง ทำให้บุคคลเหล่านี้เข้าถึงเครือข่ายการสนับสนุนที่สำคัญได้ยากขึ้น มาตรการควบคุมระหว่างการแพร่ระบาดทำให้การรายงานความรุนแรงทางเพศต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เรื้อรังอยู่แล้วเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การถูกตีตรา ความกลัวที่จะตอบโต้ และบริการที่ไม่เพียงพอสำหรับผู้รอดชีวิต แม้ว่าความรุนแรงทางเพศจะมีแนวโน้มลดลงในทั้งสองเพศ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าแนวโน้มนี้สะท้อนความเป็นจริงอย่างถูกต้องหรือไม่ สำหรับ ผู้รอดชีวิต (survivor)

LAW-U แชทบอทให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย แก่เหยื่อและผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศ ผ่านการประมวลผลภาษาธรรมชาติด้วยปัญญาประดิษฐ์ Read More »

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มใช้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) แบบสูตรยาหลายขนานร่วมกัน (combined antiretroviral therapy หรือ cART) จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นประมาณ 6,400 ราย โดยกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) พนักงานขายบริการทางเพศ และผู้ใช้สารเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น คู่รักของผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย หรือคู่รักที่มีผลเลือดเป็นลบ เรียกคู่รักกลุ่มนี้ว่า “คู่ที่มีผลเลือดต่าง (serodiscordant couple)” เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะสัมผัสกับเชื้อเอชไอวี โดยกลวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในคู่ที่มีผลเลือดต่าง ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ การรักษาคู่ที่ติดเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มแรกด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบ cART เพื่อกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือด (virologic suppression) และการใช้ยา tenofovir/emtricitabine (TDF/FTC) แบบรับประทานทุกวัน ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ (pre-exposure prophylaxis หรือ PrEP) นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ติดเชื้อ การวางแผนการมีบุตรเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (vertical transmission) และการติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ (horizontal transmission) การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอชไอวีและการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการลดพฤติกรรมเสี่ยง

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง Read More »

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’

ชวนอ่านงานวิจัย “ที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแนวทางศึกษารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก”โดย ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ภายใต้การสนับสนุนจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เป้าหมายหลักของงานวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นการสร้างกลไกการให้บริการการคุ้มครองเด็ก โดยเฉพาะในชุมชนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการติดตาม การรายงาน จนถึงการช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงหรือตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงจากการกระทำที่มิชอบ การแสวงหาประโยชน์ การละเลยทอดทิ้ง และปัญหาอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง และช่วยเหลือเด็กในชุมชนของตนเอง เกิดเป็นแนวทางเป็นรูปธรรมและยั่งยืน  งานวิจัยข้างต้นศึกษา ตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ คือ ประการแรก เพื่อศึกษาหาแนวทางหรือรูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก  ประการที่สอง เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและคุ้มครองเด็กในชุมชนแบบยั่งยืน และประการที่สาม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้หรือจัดทำองค์ความรู้ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป้าหมายที่  10 ลดความเหลื่อมล้ำ และเป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรมและสถาบันเข้มแข็ง เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’ Read More »

Scroll to Top