SDG4

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

‘เกมและการเล่น’ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยในอดีตเกมต่าง ๆ จะเล่นเพื่อเน้นเสริมสร้างความสนุกเป็นหลัก แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการริเริ่มคิดเล่น ‘เกมซีเรียส’ (serious game) หรือ “เกมที่มีกระบวนการจำลองโลกเสมือนจริง (simulation) ซึ่งออกแบบมาเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทว่าก็ยังคงความเป็นเกมที่ให้ความบันเทิงไปด้วย” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายหลายด้านต่าง ๆ ทั้งเป็นสื่อการเรียนการสอน การออกแบบและวางผังเมือง และเครื่องมือเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ‘Kin Dee You Dee’ เป็นหนึ่งในเกมซีเรียส ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ของชุมชนเกี่ยวกับการตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยชุดเกมนี้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่ชื่อว่า “Planning for Eco-Cities and Climate-Resilient Environments: Building Capacity for Inclusive Planning in the Bangkok Metropolitan Region (PEACE-BMR)” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่มุ่งสำรวจแนวทางและกลไกการปรับตัวของครัวเรือนและชุมชนต่อวิกฤติจากสภาพภูมิอากาศ ต่อมาได้มีการทดสอบการใช้ชุดเกมเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นในปี 2561 ก่อนที่การออกแบบและพัฒนาชุดเกมจะเสร็จสิ้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 เพื่อศึกษาและทดลองใช้เกม ‘Kin Dee You Dee’ ให้สามารถปรับพัฒนาไปสู่การสร้างประสิทธิภาพและครอบคลุมความต้องการของชุมชนมากขึ้น […]

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ Read More »

TU SDG Seminars | เจาะลึกแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาและความรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบาง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม

ชวนอ่านบทสรุปการสัมมนา ครั้งที่ 2 หัวข้อ “การวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม” โดย ผศ. ดร.วสิศ ลิ้มประเสริฐ วิทยาลัยสหวิทยาการ และ รศ. ดร.ชุมเขต แสวงเจริญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิด โดยแบ่งประเด็นการพูดคุยออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยผ่านมุมมองของ ผศ. ดร.วสิศ ลิ้มประเสริฐ 2) การนำเสนอผลงานวิจัยที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และหัวข้อการวิจัยในอนาคต และ 3) ช่วงถามตอบประเด็นการวิจัยจากผู้เข้าร่วมในห้องสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้เวทีสัมมนาการวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ผ่านระบบ Zoom Meeting ด้วยประเด็นที่กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การเข้าถึงความรู้และทรัพยากร รวมถึงคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง จึงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 5 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน

TU SDG Seminars | เจาะลึกแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาและความรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบาง – ชวนหาคำตอบจากบทสรุปการสัมมนาการวิจัยด้านการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม Read More »

ค้นหาปัจจัยที่ก่อให้เกิด ‘โรคอ้วนในวัยรุ่น’ ในเขตเมืองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนำไปปรับปรุงภาวะโภชนาการ

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ระบุว่า ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในวัยรุ่น หรือ ช่วงเด็กอายุระหว่าง 5 – 19 ปี จากปี 2518 มีเพียง 4% แต่ปี 2559 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 18% แนวโน้มภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้น นับเป็นลางร้าย เพราะโรคอ้วนในวัยรุ่นนั้น จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจเกี่ยวเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” หรือ (สปป.ลาว) มีจำนวนประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและกิจกรรมทางกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคอ้วนเพิ่มขึ้นและภาวะโภชนาการต่ำ (undernutrition) ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ทำให้ปัญหาทุพโภชนาการของวัยรุ่นในเขตเมืองของลาวกลายเป็นปัญหาที่สำคัญด้านสาธารณสุข จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยเรื่อง “Overweight and Obesity Coexist with Thinness among Lao’s Urban Area Adolescents” โดย ผศ.พ.ต.ต.หญิง ดร.คัติยา อีวาโนวิช  สอนมะนี

ค้นหาปัจจัยที่ก่อให้เกิด ‘โรคอ้วนในวัยรุ่น’ ในเขตเมืองของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนำไปปรับปรุงภาวะโภชนาการ Read More »

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’

ชวนอ่านงานวิจัย “การขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา” โดย ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย โดยข้อมูลจากสถาบันพระปกเกล้าระบุว่าเฉพาะปีการศึกษา 2559 มีเด็กและเยาวชนวัยเรียน อายุระหว่าง 3 – 17 ปี ซึ่งอยู่ในระบบการศึกษาแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์และการเข้าถึงโอกาสมากถึง 3 ล้านคน นับว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา มากไปกว่านั้นหากพิจารณาปัจจัยเชิงพื้นที่จะพบว่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลยังต้องเผชิญกับการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงเป็นโจทย์สำคัญของภาครัฐ และหนึ่งในการขยับขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นคือ “นโยบายสำคัญสำหรับการพัฒนา ประเทศในช่วงระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)” ภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและเสมอภาค โดยเฉพาะบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถเป็นผู้นำหลักในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่  หนึ่งในมิติความเหลื่อมล้ำที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเหมาะสมที่จะเป็นกลไกสำคัญ นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา เนื่องจากเป็นองค์ที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนในท้องถิ่น มีอำนาจและความรับผิดชอบในการจัดบริการสาธารณะซึ่งครอบคลุมถึงการจัดการศึกษา อีกทั้งยังเป็นองค์กรทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับปัญหาและความต้องการของชุมชนท้องถิ่นมากที่สุด เพื่อให้ศึกษาและค้นคว้าแนวทางขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญของการดำเนินภารกิจสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ผศ.ดร.ทรงชัย จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุป 3 ประการ คือ  จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4

ขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างไร ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.ดร.ทรงชัย ทองปาน’ Read More »

ฉายภาพรวม ‘โรคฟันผุ’ ในเด็กปฐมวัย ของประเทศไทย อะไรคือกลยุทธ์ใน ‘การจัดการ’ เสริมการป้องกันสุขภาพช่องปากให้ครอบคลุมทุกระดับ

ปัญหาสุขภาพช่องปากเป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่อาจละเลยได้ด้านสาธารณสุข ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความดูแล เนื่องจากสร้างความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจและบั่นทอนมิให้เกิดสุขภาวะที่ดีของประชาชน โดยโรคในช่องปากที่พบเป็นจำนวนมาก คือ ‘โรคฟันผุ’ ซึ่งจากการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ปี 2560 พบว่า ปัญหาโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยสูงมาก ซึ่งเด็กอายุ 3 ปี มีฟันผุเฉลี่ยร้อยละ 53 แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ได้มีการกำหนดนโยบายและโครงการมากมาย เพื่อสนับสนุนการรักษาตั้งแต่นโยบายระดับต้นน้ำ คือ งดใส่น้ำตาลในนมสำหรับทารก จนถึงนโยบายระดับปลายน้ำ อาทิ การสนับสนุนและส่งเสริมการแปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ เป็นต้น เพื่อให้มีกลไกดูแลอย่างเป็นระบบในทุกระดับในการจัดการฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยปัญหาข้างต้น รายงานวิจัยฉบับนี้ จึงมุ่งหมาย เพื่อสนับสนุนการศึกษาโรคฟันผุในเด็กปฐมวัย (Early Childhood Caries : ECC) และแบ่งปันการจัดการเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นการศึกษาการจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ผ่านการวิเคราะห์ในภาพรวม งานวิจัยเรื่อง “Strategic Management of Early Childhood Caries in Thailand: A Critical Overview”  โดย ผศ.ดร.ทพญ.ธัญญา สิทธิเสฏฐพงศ์ ผศ.ดร.ทพญ.ปริญดา ทัศณรงค์

ฉายภาพรวม ‘โรคฟันผุ’ ในเด็กปฐมวัย ของประเทศไทย อะไรคือกลยุทธ์ใน ‘การจัดการ’ เสริมการป้องกันสุขภาพช่องปากให้ครอบคลุมทุกระดับ Read More »

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’

ชวนอ่านงานวิจัย “ที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแนวทางศึกษารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก”โดย ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่ผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)  ภายใต้การสนับสนุนจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เป้าหมายหลักของงานวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นการสร้างกลไกการให้บริการการคุ้มครองเด็ก โดยเฉพาะในชุมชนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการติดตาม การรายงาน จนถึงการช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงหรือตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงจากการกระทำที่มิชอบ การแสวงหาประโยชน์ การละเลยทอดทิ้ง และปัญหาอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง และช่วยเหลือเด็กในชุมชนของตนเอง เกิดเป็นแนวทางเป็นรูปธรรมและยั่งยืน  งานวิจัยข้างต้นศึกษา ตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ คือ ประการแรก เพื่อศึกษาหาแนวทางหรือรูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก  ประการที่สอง เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและคุ้มครองเด็กในชุมชนแบบยั่งยืน และประการที่สาม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้หรือจัดทำองค์ความรู้ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนคุ้มครองเด็ก จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป้าหมายที่  10 ลดความเหลื่อมล้ำ และเป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรมและสถาบันเข้มแข็ง เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา ปกป้อง คุ้มครอง

เสริมสร้างความเข้มแข็งของ “ชุมชนคุ้มครองเด็ก” แนวทางการมีส่วนร่วม พัฒนา ปกป้อง และช่วยเหลือเป็นอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์’ Read More »

ศึกษาการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการของ ‘เด็กปฐมวัย’ ปัจจัยใดส่งผลต่อการดำเนินงาน ค้นหาคำตอบผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในประเทศไทย

ปัญหาด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ย่อมส่งผลต่อคุณภาพของประชากรที่จะเป็นอนาคตของประเทศชาติ การค้นพบปัญหาพัฒนาการผิดปกติ ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อที่จะเร่งให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ให้เด็กกลับมามีพัฒนาการใกล้เคียงปกติหรือปกติ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมสร้างความเป็นธรรมในสังคม พร้อมปูทางสร้างฐานรากของชีวิตให้แก่เด็ก เนื่องจากเด็กวัยนี้ เป็นช่วงวัยที่ต้องการการปลูกฝัง บ่มเพาะพิเศษ โดยตามนโยบายของรัฐ ได้มีการเร่งรัดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาที่รอบด้าน ตามวัยอย่างมีคุณภาพ แต่ทางกลับกัน จากสภาวการณ์ทั่วโลก ได้บ่งชี้ว่ากลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง (Low- and Middle-Income Countries; LMICs) คาดว่าเด็กก่อนวัยเรียน (preschool age) เด็ก 1 ใน 3 คน มีความบกพร่องในการรับความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาการสำคัญด้านพัฒนาการจิตสังคม (Socio Emotional Developmental) ซึ่งเป็นการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในทางที่ดี เช่นนั้น  จึงจำเป็นต้องส่งเสริมพัฒนาการในวัยเด็กที่เหมาะสม สร้างรากฐานของคุณภาพของประชากรในสังคม ด้วยปัญหาข้างต้น ประเทศไทย จึงได้มีการดำเนินการระดับชาติตามหลักสากลของในการพัฒนา “คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย” (Developmental Surveillance and Promotion Manual : DSPM) เช่นเดียวกับ งานวิจัยเรื่อง

ศึกษาการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการของ ‘เด็กปฐมวัย’ ปัจจัยใดส่งผลต่อการดำเนินงาน ค้นหาคำตอบผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในประเทศไทย Read More »

ขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมสำรวจว่าประเทศไทยมีการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ดร. อำพา แก้วกำกง’

ชวนอ่านงานวิจัย “การขับเคลื่อนนโยบายความร่วมมือด้านการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน : กรณีศึกษาโครงการโรงเรียนคู่พัฒนาไทย – อินโดนีเซีย” โดย ดร. อำพา แก้วกำกง สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา สนับสนุนการเผยแพร่โดยสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ งานวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติในโครงการโรงเรียนคู่พัฒนาไทย-อินโดนีเซียภายใต้นโยบายการขับเคลื่อนการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียนของไทย ผ่านการใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยได้มีการแบ่งการศึกษาเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) การสำรวจด้วยแบบสอบถาม และ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึกร่วมกับการศึกษาเยี่ยมชมการปฏิบัติของโรงเรียนและสังเกตการณ์และการวิเคราะห์เนื้อหานโยบายจากเอกสาร ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติโดยเฉพาะระดับส่วนกลาง และโรงเรียน ที่มาของงานวิจัย เกิดจากข้อตกลงการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 (ASEAN Community 2015) ประเทศไทย ได้มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียนอย่างจริงจัง และเพื่อให้สอดรับกับแนวนโยบายชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จึงมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปฏิบัติการขับเคลื่อนโรงเรียนสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อสร้างโอกาสการศึกษา พร้อมสร้างความตระหนักการเป็นประชาคมอาเซียน ผ่านการใช้การศึกษาเป็นกลไก ซึ่งตามแผนงานของไทย ได้มีการนำแนวทางการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียนที่ยั่งยืนเข้าไปผสานแนวคิดร่วมกับหลักสูตรสถานศึกษา เป็นการทำงานตามปกติ ขณะเดียวกัน ก็ได้ขับเคลื่อนเตรียมการให้ผู้เรียนมีทักษะ เจตคติ ค่านิยม และความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถอยู่ในประชาคมอาเซียนได้อย่างดี

ขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมสำรวจว่าประเทศไทยมีการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างไร ชวนค้นหาคำตอบงานวิจัยของ ‘ดร. อำพา แก้วกำกง’ Read More »

Scroll to Top