SDG3

สำรวจปัจจัยที่กลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นใช้เลือก ‘การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน’ ผ่านงานวิจัยที่เน้นเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักด้วยมาตรการปิดพรมแดนประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจึงลดน้อยลง ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2563 โรงแรมในญี่ปุ่นล้มละลายเพิ่มขึ้นกว่า 57% ขณะที่โรงแรมในไทยถูกคาดการณ์ว่าปิดกิจการภายในสิ้นปี 2564 ไปกว่า 47% อย่างไรก็ดีมีความพยายามมองหาทางเลือกในการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อโอบอุ้มและกระตุ้นกิจการการท่องเที่ยวไม่ให้ถดถอยมากจนเกินไป และหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจไม่น้อยนั่นคือ “vaccine tourism” หรือ “การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน” ซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศปลายทางสามารถฉีดวัคซีนได้ฟรี เนื่องจากบางประเทศมีวัคซีนเกินความต้องการใช้จึงนำวัคซีนที่เหลือมาเปลี่ยนเป็นจุดดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างครอบคลุมหรือได้รับวัคซีนชนิดที่ไม่ต้องการ โดยปัจจุบันการท่องเที่ยวแนวนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และคิวบา กระนั้น เมื่อสำรวจงานวิจัยและเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ผ่านระบบ Scopus พบว่ามีงานวิจัยเพียง 28 งานวิจัยเท่านั้น และเมื่อจำกัดการค้นหาระบุเอกสารที่คำว่า “vaccine tourism” เป็นคำหลัก พบว่ามีงานวิจัยเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่ งานวิจัย “Decoding the global trend of “vaccine tourism” through public sentiments and emotions: […]

สำรวจปัจจัยที่กลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นใช้เลือก ‘การท่องเที่ยวพร้อมสิทธิฉีดวัคซีน’ ผ่านงานวิจัยที่เน้นเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม Read More »

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ร่วมของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โดย รศ.ปกรณ์ เสริมสุข คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนอุดหนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) นับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่มีเป้าประสงค์ “เพื่อให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยมีหลักประกันสุขภาพ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยบริการที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ตอบสนองต่อสังคม รวมถึงไม่ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วย” โดยมีการกำหนดระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ให้กับหน่วยบริการในรูปแบบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งพบปัญหาว่าประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงยาหรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นหลายกลุ่ม เนื่องจากมีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายน้อยรายหรือรายเดียว บางรายการติดปัญหาเรื่องสิทธิบัตร ทำให้ไม่สามารถจัดหายาจากแหล่งผลิตอื่นได้ เพื่อให้ได้ยาและเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหน้าที่จัดทำแผนความต้องการพัสดุ และคุณลักษณะเฉพาะของรายการที่ต้องการจัดซื้อร่วม ส่งให้องค์การเภสัชกรรมก่อนสิ้นปีงบประมาณ จากนั้นองค์การเภสัชกรรมจะทำหน้าที่จัดซื้อร่วมระดับประเทศ และกระจายยาและเวชภัณฑ์เหล่านั้นให้หน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ แม้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สามารถทำให้ผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ขอเสนอจากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสรุปได้ว่า การจัดหายาเพื่อส่งให้หน่วยบริการเป็นการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงได้มีการจัดตั้งเครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถีขึ้นเฉพาะกิจ ให้ทำหน้าที่จัดซื้อยาแทน สปสช. เป็นการชั่วคราว ทว่าแนวทางและรูปแบบในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ดังกล่าวมีปัญหาในหลายมิติ เนื่องจากโรงพยาบาลราชวิถีนั้นไม่มีการออกแบบทั้งในเชิงสารสนเทศและการจัดการที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการจัดการอุปทาน (supply management) อย่างเป็นระบบ ตลอดจนไม่สามารถพยากรณ์ปริมาณการใช้ยา (forecasting) และจัดทำงบประมาณ (budgetary)

กระบวนการจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ มีปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ.ปกรณ์ เสริมสุข’ Read More »

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มใช้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) แบบสูตรยาหลายขนานร่วมกัน (combined antiretroviral therapy หรือ cART) จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นประมาณ 6,400 ราย โดยกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) พนักงานขายบริการทางเพศ และผู้ใช้สารเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น คู่รักของผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย หรือคู่รักที่มีผลเลือดเป็นลบ เรียกคู่รักกลุ่มนี้ว่า “คู่ที่มีผลเลือดต่าง (serodiscordant couple)” เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะสัมผัสกับเชื้อเอชไอวี โดยกลวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในคู่ที่มีผลเลือดต่าง ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ การรักษาคู่ที่ติดเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มแรกด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบ cART เพื่อกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือด (virologic suppression) และการใช้ยา tenofovir/emtricitabine (TDF/FTC) แบบรับประทานทุกวัน ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีผลเลือดลบ (pre-exposure prophylaxis หรือ PrEP) นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ติดเชื้อ การวางแผนการมีบุตรเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (vertical transmission) และการติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ (horizontal transmission) การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอชไอวีและการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการลดพฤติกรรมเสี่ยง

‘กระบวนการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับ HIV’ สำหรับคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อสร้างความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง Read More »

ฉายภาพรวม ‘โรคฟันผุ’ ในเด็กปฐมวัย ของประเทศไทย อะไรคือกลยุทธ์ใน ‘การจัดการ’ เสริมการป้องกันสุขภาพช่องปากให้ครอบคลุมทุกระดับ

ปัญหาสุขภาพช่องปากเป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่อาจละเลยได้ด้านสาธารณสุข ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความดูแล เนื่องจากสร้างความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจและบั่นทอนมิให้เกิดสุขภาวะที่ดีของประชาชน โดยโรคในช่องปากที่พบเป็นจำนวนมาก คือ ‘โรคฟันผุ’ ซึ่งจากการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ปี 2560 พบว่า ปัญหาโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยสูงมาก ซึ่งเด็กอายุ 3 ปี มีฟันผุเฉลี่ยร้อยละ 53 แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ได้มีการกำหนดนโยบายและโครงการมากมาย เพื่อสนับสนุนการรักษาตั้งแต่นโยบายระดับต้นน้ำ คือ งดใส่น้ำตาลในนมสำหรับทารก จนถึงนโยบายระดับปลายน้ำ อาทิ การสนับสนุนและส่งเสริมการแปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ เป็นต้น เพื่อให้มีกลไกดูแลอย่างเป็นระบบในทุกระดับในการจัดการฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยปัญหาข้างต้น รายงานวิจัยฉบับนี้ จึงมุ่งหมาย เพื่อสนับสนุนการศึกษาโรคฟันผุในเด็กปฐมวัย (Early Childhood Caries : ECC) และแบ่งปันการจัดการเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นการศึกษาการจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ผ่านการวิเคราะห์ในภาพรวม งานวิจัยเรื่อง “Strategic Management of Early Childhood Caries in Thailand: A Critical Overview”  โดย ผศ.ดร.ทพญ.ธัญญา สิทธิเสฏฐพงศ์ ผศ.ดร.ทพญ.ปริญดา ทัศณรงค์

ฉายภาพรวม ‘โรคฟันผุ’ ในเด็กปฐมวัย ของประเทศไทย อะไรคือกลยุทธ์ใน ‘การจัดการ’ เสริมการป้องกันสุขภาพช่องปากให้ครอบคลุมทุกระดับ Read More »

สำรวจความเสี่ยงไข้เลือดออกในภาคกลางของไทย พร้อมค้นหาคำตอบความเชื่อมโยงกับ Climate Change ผ่านงานวิจัยเชิงพรรณนา 

โรคไข้เลือดออกเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์อย่างมาก เนื่องจากส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของผู้ป่วยและระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งปัจจุบันพบว่าโรคไข้เลือดออกแพร่กระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายงานว่าพบผู้ป่วยไข้เลือดออกประมาณ 2.9 ล้านราย และเสียชีวิต 5,906 ต่อปี สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดภาระทางการเงินของประเทศต่าง ๆ กว่า 950 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะทางการเงินที่ค่อนข้างย่ำแย่อยู่เดิมแล้ว อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนเพียงภาพรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไม่ได้ศึกษาอย่างลงรายละเอียดเชิงพื้นที่ และเมื่อพิจารณางานวิจัยอื่น ๆ ที่ศึกษาเรื่องเดียวกันนี้ก็พบว่ายังไม่มีงานวิจัยใดที่ศึกษาการอุบัติของโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ระหว่างปี 2543 – 2554 อย่างชัดเจน เพื่อศึกษาและเติมเต็มช่องทางประเด็นดังกล่าว Uma Langkulsen และ Nigel James คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Kamol Promsakha Na Sakolnakhon กรมอุตุนิยมวิทยา จึงได้ดำเนินงานวิจัย “Climate Change and Dengue Risk in Central Region of Thailand”

สำรวจความเสี่ยงไข้เลือดออกในภาคกลางของไทย พร้อมค้นหาคำตอบความเชื่อมโยงกับ Climate Change ผ่านงานวิจัยเชิงพรรณนา  Read More »

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร?

โรคมะเร็ง เป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ของการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตราว 600,000 คน ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดทั่วไป (conventional chemotherapy) ประสบความทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากการออกฤทธิ์แบบไม่เลือกเจาะจง (non-selective action) ของยาเคมีบำบัดต่อเซลล์ปกติ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อนุภาคนาโน (nanoparticle) ได้รับการพัฒนาเป็นระบบขนส่งยาสำหรับยาเคมีบำบัดชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา อนุภาคนาโนมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเข้มข้นของยา (drug concentration) ในเซลล์มะเร็งด้วยการเพิ่มการสะสมยา (drug accumulation) ผ่านกลไก 2 แบบคือ 1) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายได้เอง (passive targeting) และ 2) กลไกการนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างจำเพาะ (active targeting) นอกจากนี้อนุภาคนาโนยังช่วยลดการขับยาออก (drug efflux) จากเซลล์มะเร็งอีกด้วย ระบบตัวพาขนาดนาโนเมตรนี้สามารถนำส่งยาสู่มะเร็งเป้าหมายได้ 2 แบบ คือ ซึ่งการทำงานของอนุภาคนาโนผ่านกลไกทั้งสองแบบนี้ ทำให้ความเข้มข้นของยาในเซลล์มะเร็งเพิ่มสูงขึ้น การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า

‘อนุภาคนาโนแบบจำเพาะกับเป้าหมาย’ สำหรับการขนส่งยาเคมีบำบัดสู่เซลล์มะเร็ง คืออะไร? และดีกว่าการรักษามะเร็งแบบเดิมอย่างไร? Read More »

โอนอำนาจจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้ อปท. มีความพร้อมแค่ไหน – ต้องหนุนเสริมอะไรเพิ่มบ้าง ? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ศ.ระพีพรรณ คำหอม และคณะ

ชวนอ่านงานวิจัย “การศึกษาผลการดำเนินงานการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดสู่ความพร้อมการถ่ายโอนภารกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย ศ.ระพีพรรณ คำหอม, ผศ.ดร.ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ และ ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โครงการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 โดยตั้งต้นมาจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย นับว่าเป็นหนึ่งในสวัสดิการสำหรับเด็กในครอบครัวและเป็นการจัดบริการสนับสนุนมิติเศรษฐกิจของครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวที่อยู่ในภาวะยากลำบากทางเศรษฐกิจสามารถนำเงินอุดหนุนไปใช้ในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี  อย่างไรก็ดีจากการติดตามและประเมินผลโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปี 2559 – 2560 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่าโครงการดังกล่าวเกิดปัญหาการเข้าไม่ถึงของกลุ่มเป้าหมายแท้จริง (exclusion error) พร้อมกับการรั่วไหลไปสู่ผู้ที่อยู่นอกกลุ่มเป้าหมาย (inclusion error) เพื่อแก้ปัญหาและช่องโหว่ที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ จึงมีมติเห็นชอบถ่ายโอนอำนาจการดำเนินโครงการแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะมีหน้าที่สำคัญ อาทิ ร่วมค้นหากลุ่มเป้าหมาย ลงทะเบียน การตรวจสอบ สิทธิ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด  เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง ศ.ระพีพรรณ และคณะจึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีเป้าประสงค์สำคัญ คือ การศึกษาความคิดเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อผลการดำเนินงานการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และเปรียบเทียบความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อความพร้อมในการถ่ายโอนภารกิจตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่

โอนอำนาจจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้ อปท. มีความพร้อมแค่ไหน – ต้องหนุนเสริมอะไรเพิ่มบ้าง ? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ศ.ระพีพรรณ คำหอม และคณะ Read More »

พัฒนา “พื้นที่ห้องปฏิบัติการชุมชน” เพื่อรองรับสังคมสูงวัยอย่างไรให้สำเร็จ ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ. รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “การสังเคราะห์กลไกและรูปแบบพื้นที่ห้องปฏิบัติการชุมชนเพื่อสังคมผู้สูงอายุ” โดย ผศ. รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานวิจัยดังกล่าวตั้งต้นขึ้นจากสถานการณ์ผู้สูงอายุของไทยในปัจจุบันที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย ปี 2553-2583 โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ในปี 2583 ประเทศไทยจะพบผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สูงถึง 20.5 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32 ของประชากรไทยทั้งหมด สถานการณ์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงและความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ทำให้จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง และที่สำคัญผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพและมีแนวโน้มต้องอาศัยอยู่คนเดียวสูงขึ้น  เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงพัฒนา “พื้นที่ห้องปฏิบัติการชุมชน” (Community Laboratory) ขึ้นทดลองในพื้นที่ตำบลต้นแบบบูรณาการด้านส่งเสริมสุขภาพกลุ่มวัยและอนามัย สิ่งแวดล้อม จำนวน 12 พื้นที่ ได้แก่ ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน จ.พะเยา, ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย, ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์, ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา,

พัฒนา “พื้นที่ห้องปฏิบัติการชุมชน” เพื่อรองรับสังคมสูงวัยอย่างไรให้สำเร็จ ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ. รณรงค์ จันใด’ Read More »

ศึกษาการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการของ ‘เด็กปฐมวัย’ ปัจจัยใดส่งผลต่อการดำเนินงาน ค้นหาคำตอบผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในประเทศไทย

ปัญหาด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ย่อมส่งผลต่อคุณภาพของประชากรที่จะเป็นอนาคตของประเทศชาติ การค้นพบปัญหาพัฒนาการผิดปกติ ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อที่จะเร่งให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ให้เด็กกลับมามีพัฒนาการใกล้เคียงปกติหรือปกติ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมสร้างความเป็นธรรมในสังคม พร้อมปูทางสร้างฐานรากของชีวิตให้แก่เด็ก เนื่องจากเด็กวัยนี้ เป็นช่วงวัยที่ต้องการการปลูกฝัง บ่มเพาะพิเศษ โดยตามนโยบายของรัฐ ได้มีการเร่งรัดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาที่รอบด้าน ตามวัยอย่างมีคุณภาพ แต่ทางกลับกัน จากสภาวการณ์ทั่วโลก ได้บ่งชี้ว่ากลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง (Low- and Middle-Income Countries; LMICs) คาดว่าเด็กก่อนวัยเรียน (preschool age) เด็ก 1 ใน 3 คน มีความบกพร่องในการรับความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาการสำคัญด้านพัฒนาการจิตสังคม (Socio Emotional Developmental) ซึ่งเป็นการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในทางที่ดี เช่นนั้น  จึงจำเป็นต้องส่งเสริมพัฒนาการในวัยเด็กที่เหมาะสม สร้างรากฐานของคุณภาพของประชากรในสังคม ด้วยปัญหาข้างต้น ประเทศไทย จึงได้มีการดำเนินการระดับชาติตามหลักสากลของในการพัฒนา “คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย” (Developmental Surveillance and Promotion Manual : DSPM) เช่นเดียวกับ งานวิจัยเรื่อง

ศึกษาการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการของ ‘เด็กปฐมวัย’ ปัจจัยใดส่งผลต่อการดำเนินงาน ค้นหาคำตอบผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในประเทศไทย Read More »

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’

ชวนอ่านงานวิจัย “บริการทางวิชาการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ และนวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดย ผศ.รณรงค์ จันใด คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินงานผ่านสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองจากโรคได้เทียบเท่าคนทั่วไป เช่น คนพิการทางสายตาที่ต้องสัมผัสพื้นผิวมากกว่าปกติ คนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยหรือล้างมือด้วยตนเอง คนพิการทางจิต/สติปัญญา/ออทิสติก ที่ไม่สามารถเข้าใจมาตรการในการป้องกันโรคได้เท่าคนทั่วไป และหากคนพิการเจ็บป่วยก็อาจจะต้องใช้ทรัพยากรในการดูแลมากกว่า รวมถึงอาจมีอาการป่วยหนักกว่าคนทั่วไปเนื่องจากมีโรคร่วมทางกายมากกว่า งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้สำหรับการดูแลคนพิการในแต่ละประเภทความพิการ และสังเคราะห์รูปแบบและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการดูแลคนพิการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม เเละอุตสาหกรรม และเป้าหมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ  ซึ่งงานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกประเด็นกับกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง และการถอดบทเรียนและองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมการดูแลคนพิการ กับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน

นวัตกรรมการดูแลคนพิการช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง? ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ.รณรงค์ จันใด’ Read More »

Scroll to Top