พัฒนาแช็ตบอตช่วยค้นหากฎหมายเกี่ยวกับ อปท. ให้ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ชวนหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์’

ชวนอ่าน “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ สำหรับค้นหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย  รศ. ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC)

การช่วยผู้ประสบปัญหาเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายให้สามารถหาคำตอบในเบื้องต้นได้นั้น หน่วยงานที่ให้บริการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายจะมีการให้บริการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ เพื่อให้บริการปรึกษาด้านกฎหมาย ทว่ามีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ความล่าช้าในการตอบคำถาม ซึ่งเมื่อผู้ให้คำปรึกษาไม่มีความรู้เพียงพอ จึงต้องรอผู้เชี่ยวชาญตอบคำถาม และบ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญไม่มีเวลาตอบ ซึ่งบางครั้งเป็นคำถามที่มีการถามซ้ำจากหลายบุคคลที่มีปัญหาเดียวกัน แต่ไม่มีการจดบันทึกรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ ทำให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นการให้บริการต้องใช้มนุษย์ในการนั่งรอโทรศัพท์เพื่อตอบคำถามซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงและมีความไม่แน่นอน 

เพื่อแก้ปัญหาการใช้มนุษย์ตอบคำถาม จึงมีความพยายามนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาการให้บริการ เช่น ระบบโทรศัพท์แบบตอบรับอัตโนมัติ ซึ่งสามารถให้บริการได้ตลอดเวลา แต่เนื่องจากการใช้ระบบโทรศัพท์แบบตอบรับอัตโนมัตินั้น เมื่อผู้ถามโทรเข้าไปใช้ระบบ ระบบจะทำการถามคำถามและตัวเลือกของคำตอบตามลำดับที่ได้เตรียมไว้ ซึ่งการที่ต้องฟังคำถามและตัวเลือกคำตอบที่มีความยาวนั้นเป็นภาระให้กับผู้ใช้ อาจมีความผิดพลาดในการฟังจากผู้ใช้ และมีค่าใช้จ่ายสูง การใช้ระบบนี้จึงไม่เหมาะนัก 

เพื่อช่วยแก้ปัญหาข้างต้น รศ. ดร.นพพร ร่วมกับวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า จึงดำเนินการวิจัยข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 

  1. เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลจาก “คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับข้อกฎหมายสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านบริหารงานบุคคลท้องถิ่น” 
  2. เพื่อสร้าง “กรอบการสนทนา (dialogue)” การถาม-การตอบเกี่ยวกับข้อกฎหมายสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านบริหารงานบุคคลท้องถิ่น เพื่อนำไปพัฒนาเป็นรูปแบบจำลอง (model) การถาม-การตอบ เกี่ยวกับข้อกฎหมายสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จึงนับว่าเป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 9 และเป้าหมายที่ 16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง

รศ. ดร.นพพร ดำเนินการวิจัยด้วยวิธีการศึกษา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  1. กำหนดหัวข้อและขอบเขตของการศึกษาภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายท้องถิ่น 
  2. ศึกษารวบรวมข้อมูลและคัดกรองข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับหัวข้อในกรอบการวิจัยคำพิพากษา รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึกกับเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 
  3. นำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลโดยประมวลรูปแบบ “คำถามที่อาจเกิดขึ้น” ในประเด็นข้อกฎหมายหนึ่งๆ พร้อมทั้ง “คำตอบ” สำหรับคำถามเหล่านั้น 
  4. จัดทำโครงสร้างกรอบสนทนาตามรูปแบบที่ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจ 
  5. ทดสอบกรอบสนทนาโดยใช้เครื่องมือด้านปัญญาประดิษฐ์ เช่น Google Diaglogflow โดยเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายปกครองส่วนท้องถิ่น 
  6. นำกรอบสนทนาที่ผ่านการทดสอบแล้วไปจัดทำและพัฒนาเป็นฐานข้อมูล 
  7. นำเสนอผลการวิจัยต่อสถาบันพระปกเกล้า

ผลการศึกษาแบ่งตามประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

  • โปรแกรมแช็ตบอตที่พัฒนาจากกระบวนการตามงานวิจัยนี้ : คณะผู้วิจัยพัฒนาโปรแกรมแช็ตบอต ออกมาเป็น 2 ลักษณะ คือ ใช้ผ่านโปรแกรม LINE และ โปรแกรม Google Assistant โดยแผนภูมิเดียวกัน พบว่าทั้งสองโปรแกรมสามารถตอบสนองต่อผู้พัฒนาได้เป็นอย่างดีเท่า ๆ กัน สิ่งที่แตกต่างเป็นเพียงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้การเข้าถึงแช็ตบอตเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง
  • ข้อสังเกตจากการจัดทำบทสนทนา : ในการจัดทำบทสนทนา ทั้งจากบทสนทนาจากผู้เชี่ยวชาญและบทสนทนาจากทีมนักพัฒนาแช็ตบอตมีข้อสังเกต และข้อเสนอแนะดังนี้
    1. ความร่วมมือและความเข้าใจของผู้เชี่ยวชาญ พบว่าบางครั้งผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอาจยังไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของการทำแช็ตบอต เนื่องจากไม่ใช่สาขาที่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นการเสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน จะช่วยให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น
    2. การกำหนดรูปแบบของบทสนทนาให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การทำแปลงคดีความมาเป็นรูปแบบที่ผู้พัฒนาแช็ตบอตสามารถเข้าใจได้ และนำไปแปลงเป็นบทสนทนาสำหรับแช็ตบอตได้ต่อไป ผู้พัฒนาแช็ตบอตควรจัดรูปแบบที่ผู้เชี่ยวชาญคุ้นเคย และสามารถใช้ได้ง่าย
    3. บทบาทที่สำคัญของผู้เชี่ยวชาญ อาทิ เป็นผู้ช่วยเสนอแนะในการกำหนดหัวข้อ หรือเป็นผู้ที่จะเลือกคดีมาเพื่อแปลงเป็นบทสนทนำตามหัวข้อที่กำหนด 
  • ข้อสังเกตจากการถกสนทนากลุ่ม : การค้นหาข้อมูลด้านกฎหมาย โดยส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจาก “เว็บไซต์” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายนั้น ๆ เนื่องจากมีตัวบทกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการอ้างอิงสามารถนำไปใช้งานต่อได้ แต่จะสามารถใช้เทียบเคียงกับกรณีที่มีข้อสงสัย เนื่องจากต่างกรรมต่างวาระและความแตกต่างในเชิงบริบทของเหตุที่เกิด จึงต้องอาศัยการตีความกฎหมายผ่านประสบการณ์ของผู้ค้นหาข้อมูลเป็นอย่างมาก รวมถึงความแตกต่างของเจตนารมณ์ในการใช้กฎหมายนั้นด้วยนั้นการค้นหาข้อมูลด้วยแช็ตบอตจะต้องเน้นความรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง และให้ผู้ค้นหานำไปตีความหรือเปรียบเทียบกับข้อสงสัยที่มีหรือแม้แต่การค้นหาข้อมูลเชิงลึกในลำดับถัดไป

นอกจากนี้ รศ. ดร.นพพร ยังได้ให้ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ

  • ผลของงานวิจัยฉบับนี้ยังจำกัดหัวข้ออยู่ที่หัวข้อเดียวคือ การพ้นจากตำแหน่ง และมีคดีอ้างอิงอยู่เพียง 19 คดี แต่โปรแกรม Dialogflow ยังสามารถรองรับหัวข้อและคดีเพิ่มขึ้นได้ เพื่อเพิ่มความฉลาดของแช็ตบอตให้มากขึ้น
  • การต่อยอดสามารรถทำได้ทั้งในแนวลึก คือ ความสามารถในการเรียนรู้คดีตัวอย่างได้มากขึ้นมากกว่า 19 คดี เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุด
  • การต่อยอดอีกทางคือในแนวกว้าง ได้แก่ การเพิ่มหัวข้อประเด็นให้มากกว่า ประเด็นการพ้นจากตำแหน่งเพียงประเด็นเดียว ซึ่งจะสามารถขยายฐานผู้ใช้ให้มากขึ้นได้
  • คดีที่นำมาใช้ควรจะไม่จำกัดอยู่ที่คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดอย่างเดียว เนื่องจากยังมีจำนวนคดีที่น้อย ให้พิจารณาคดีที่ตัดสินจำกคำวินิจฉัย เช่น จากผู้ว่าราชการ หรือ กระทรวงมหาดไทย และไม่ขึ้นสู่กระบวนการศาล จะมีจำนวนเยอะกว่ามาก หรืออีกทางคือใช้คดีจากศาลฎีกาจะมีจำนวนคดีและความครอบคลุมที่มากกว่า

กล่าวโดยสรุป งานวิจัยของ รศ. ดร.นพพร ได้ศึกษา สำรวจ และทดลองการพัฒนาแช็ตบอตสำหรับช่วยค้นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งผลการศึกษาและคำแนะนำสามารถต่อยอดพัฒนาให้ตอบโจทย์ ง่ายต่อการใช้งาน และมีประสิทธิภาพอีกได้ อย่างไรก็ดีขั้นริเริ่มพัฒนานี้ก็นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนเพื่อให้สามารถเรียนรู้และเข้าถึงข้อกฎหมายได้ด้วยตนเองผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่มีอยู่

งานวิจัยดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มการวิจัยเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการนำ SDGs ไปปฏิบัติในพื้นที่ธีมการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม 

งานวิจัยดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG9 โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
– (9.c) เพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสาร และพยายามที่จะจัดให้มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยถ้วนหน้าและในราคาที่สามารถจ่ายได้ ในประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ภายในปี 2563 
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันเข้มแข็ง
– (16.3) ส่งเสริมหลักนิติธรรมทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ และสร้างหลักประกันว่าทุกคนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม

Research recommends แนะนำงานวิจัยของนักวิจัยธรรมศาสตร์ที่สนับสนุนการขับเคลื่อน SDGs กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิจัยแบบบูรณาการระดับแนวหน้า เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (TU-SDG Research Network)

Related

เมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ รัฐมีนโยบายอย่างไร? เพื่อส่งเสริมรายได้และการจ้างงาน ชวนค้นหาคำตอบจากงานวิจัยของ ‘ผศ. ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ  และคณะ’

ชวนอ่านงานวิจัย “ส่งเสริมการมีรายได้และการมีงานทำของผู้สูงอายุ ตามนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม …

HealthPolicyPolicy x HealthSDG10SDG3SDG8TUSDGResearchNetwork

ชวนรู้จัก ‘Kin Dee You Dee’ เกมที่หวังหนุนเสริมชุมชนให้มีส่วนร่วมตั้งรับปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

‘เกมและการเล่น’ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยในอดีตเกมต่าง …

InequalityLocalizingLocalizing x InequalitySDG11SDG13SDG4TUSDGResearchNetwork

อิทธิพลใดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้ ‘Metro-Bus’ ค้นหาคำตอบผ่านการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีรายได้ ในเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ปัจจุบัน ประชากรในเขตเมืองนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพายานพาหนะในการเดินทางและสัญจรมากขึ้น …

InequalityPolicyPolicy x InequalitySDG10SDG11SDG9TUSDGResearchNetwork
Scroll to Top